คลังเก็บหมวดหมู่: Research

ผลตอบแทนย้อนหลัง กองทุน : ความเสียเวลาและมายาคติ

ผลตอบแทนย้อนหลัง (past performance) บอกอนาคตของผลตอบแทนกองทุนรวมได้จริงหรือ?

ถ้าถามผมว่า ความเชื่อที่แอบสร้างปัญหาให้กับนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมอย่างไม่รู้ตัวคือความเชื่อเรื่องอะไร ผมบอกได้เลยว่า การที่นักลงทุนในกองทุนรวม (รวมไปถึงคนที่สนใจจะลงทุนในกองทุนรวม) เชื่อว่าผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนรวมเป็นสิ่งที่สามารถทำนายผลตอบแทนอนาคตได้ อันนี้ล่ะเป็นความเชื่อแบบมายาคติ (myth) ของนักลงทุนส่วนใหญ่เลยทีเดียว

1. ภาพรวมเกี่ยวกับ ผลตอบแทนย้อนหลัง ของกองทุนรวม

เวลาคนส่วนใหญ่จะลงทุนในกองทุนรวม เช่น กองทุนรวมหุ้น สิ่งที่พวกเขาตั้งสมมติฐานก็คือ กองทุนรวมที่ทำผลตอบแทนได้ดีในตอนนี้หรือในอดีต ควรจะทำผลตอบแทนได้ดีในอนาคต เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่า คนส่วนใหญ่จะค้นหาใน Google ว่า กองทุนไหนทำผลตอบแทนดี หรือสิบอันดับผลตอบแทนกองทุนรวมย้อนหลัง หรือบางคนก็ไปตั้งคำถามกระทู้ว่ากองทุนไหนผลตอบแทนดีบ้าง เรียกได้ว่า พลังงานที่คนส่วนใหญ่เสียไปในการลงทุน คือ การค้นหาผู้ชนะจากผลตอบแทนในอดีตของกองทุนรวมนี่ล่ะ

ด้วยเหตุนี้ หน้าเว็บไซต์ที่คนส่วนใหญ่จะไปดู คือ หน้าที่บอกว่า กองทุนนี้ทำผลตอบแทนในอดีตได้เท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบนั่นนี่ หรือเว็บไซต์ที่มีบริการเปรียบเทียบผลตอบแทนของกองทุนรวม หรือการดูสัญลักษณ์รางวัลต่าง ๆ หรือพวกเขาไม่จำเป็นต้องค้นดูก็ได้ วารสาร นิตยสาร ข่าว หรือสื่อการเงินต่าง ๆ จะรายงานเองว่า กองทุนรวมใดได้ผลตอบแทนสูงสุดของในรอบ 10 ปี 5 ปี 3 ปี 1 ปี หรือหน่วยเดือน สูงสุดของครึ่งปี หรือ 3 เดือน หรือ 1 เดือน หรือแม้กระทั่ง 1 สัปดาห์!!! ก็ในเมื่อนักลงทุนสนใจ วงการการเงินก็ตอบสนองเสนอข่าวสารเหล่านี้ให้จุใจเลยสิ

ส่วนตัวเห็นว่า ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังแบบระดับเดือน เช่น 1 เดือน และที่ขัดใจสุด คือ ข่าวเกี่ยวกับผลตอบแทนย้อนหลังสูงสุด 1 สัปดาห์! ข่าวพวกนี้ผมคิดว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดและสิ่งที่นักลงทุนควรทำคือเลื่อนผ่านให้ไวซะมากกว่า

มิใช่แค่วงการโฆษณาหรือสื่อการเงิน แม้กระทั่งวงการกองทุนรวมเองก็เสนอข่าวในลักษณะนี้เช่นกัน พวกเขามักจะบอกว่า กองทุนของพวกเขาได้ผลตอบแทนสูงสุด หรือทำผลตอบแทนได้ดีนะ อันนี้เราก็ว่ากันไม่ได้ ทุกบริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) ล้วนมีฝ่ายขายกับฝ่ายการตลาด และทั้งสองฝ่ายก็ต้องทำหน้าที่ในการสร้างรายได้ให้กับบริษัท เพราะฉะนั้น เวลานักลงทุนจะซื้อกองทุน สิ่งที่นักลงทุนจะได้เห็นมากที่สุดนอกจากคำบรรยายความดีงามของกองทุน ก็คือ การเสนอตัวเลขผลตอบแทนในอดีตที่แสนจะประทับใจ

คำถามคือ สิ่งที่ทุกภาคส่วนที่ผมเกริ่นไปข้างต้นกำลังทำนั้น มีประโยชน์กับนักลงทุนจริงหรือไม่?

เขียนเปิดประเด็นไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่า “ผลตอบแทนย้อนหลัง” (past performance) ของกองทุนรวมไม่สามารถบ่งบอกหรือไม่ใช่วิธีที่ดีเลยในการทำนายอนาคตของผลตอบแทนที่กองทุนรวมจะทำได้[1. Burton G. Malkiel and Charles D. Ellis, The Elements of Investing: Easy Lessons for Every Investor, updated ed. (Hoboken: Wiley, 2013), 88.] และกองทุนรวมที่ทำผลตอบแทนได้ดีในปัจจุบันหรือในอดีตก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำผลตอบแทนในอนาคตได้ดีแต่อย่างใด ที่หนึ่งในวันนี้ก็เป็นที่โหล่ในอนาคตได้ และโดยปกติกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการในลักษณะเลือกซื้อหุ้นรายตัว (Actively Managed Funds) ส่วนใหญ่มักจะทำผลงานได้แพ้ตลาดหุ้นและสร้างผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน

2. ใครเคยพูดอะไรเอาไว้บ้างเกี่ยวกับ ผลตอบแทนย้อนหลัง

เรามาดูกันครับว่า มีนักลงทุนและนักการเงินคนสำคัญ ๆ เคยพูดเกี่ยวกับ past performance ของกองทุนรวม ไว้อย่างไรกันบ้าง

(I) Burton G. Malkiel ได้ให้ความเห็นว่า บันทึกผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุนรวมและบรรดาผู้จัดการกองทุนทั้งหลายนั้นไม่มีค่าอะไรเลยในการทำนายความสำเร็จในอนาคตของกองทุนรวม (worthless) ตัวอย่างน้อยนิดที่เกิดขึ้นสำหรับผู้ชนะในระยะยาว (หมายถึงมีกองทุนไม่กี่กองที่ชนะตลาดได้) อาจเรียกได้ว่ามันเป็นแค่ความ “บังเอิญ” เท่านั้น[1. Burton G. Malkiel, A Random Walk down Wall Street: The Time-tested Strategy for Successful Investing, 11th ed. (New York: W. W. Norton & Company, 2016), 398.]

(II) Peter Lynch ผู้จัดการกองทุนคนดังได้อธิบายอย่างเห็นภาพว่า นักลงทุนมักจะชอบดูผลตอบแทนย้อนหลังกองทุนรวม โดยเฉพาะการดูผลตอบแทนย้อนหลังกองทุนรวมที่สูงสุดของปีที่แล้วหรือหนึ่งปีย้อนหลัง แล้วก็ทำการซื้อกองทุนรวมดังกล่าว การกระทำเช่นนี้ไม่ฉลาดเลย (foolish) เพราะโดยปกติการได้ที่หนึ่งมักจะมาจากการลงทุนในหุ้นหรืออุตสาหกรรมร้อนแรง และบางทีอาจจะเป็นแค่ความโชคดีซะมากกว่า[1. Peter Lynch and John Rothchild, Beating the Street, revised ed. (New York: Simon & Schuster, 1994), 68.]

(III) Richard A. Ferri เตือนว่า ผลตอบแทนย้อนหลังไม่สามารถนำมาใช้ในการเลือกกองทุนรวมที่จะเป็นผู้ชนะในอนาคต มันเป็นวิธีที่ไม่อาจเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ดี วงการกองทุนรวมกับนักลงทุนก็ยังคงเพิกเฉยละเลยข้อเท็จจริงที่ว่านี้[1. Richard A. Ferri, All About Index Funds: The Easy Way to Get Started, 2nd ed. (New York: McGraw-Hill, 2007), 27.] และยังพยายามจะเลือกกองทุนโดยดูจากผลตอบแทนย้อนหลังอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งเหลวไหล (pure nonsense)[1. ibid., 26.]

(IV) John C. Bogle ให้ข้อสังเกตว่า การดูผลตอบแทนที่ผ่านมาของกองทุนรวมแล้วเอามาใช้เลือกกองทุนเป็นวิธีที่ไม่อาจมั่นใจได้เลยว่า คุณจะได้เจอกองทุนรวมที่ทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดในอนาคต สำหรับผลตอบแทน(ย้อนหลัง)แล้ว อดีตไม่อาจบอกอนาคตได้เลย[1. John C. Bogle, The Little Book of Common Sense Investing: The Only Way to Guarantee Your Fair Share of Stock Market Returns (Hoboken: Wiley, 2007) 87.]

ดูเหมือนทุกคนที่ยกมาจะเห็นตรงกันนะครับว่า ผลตอบแทนในอดีตนั้นไม่อาจบอกได้ถึงผลตอบแทนในอนาคตของกองทุนรวม และวิธีเลือกกองทุนโดยดูผลตอบแทนที่ผ่านมานั้นค่อนข้างจะเป็นวิธีที่เชื่อถือไม่ได้และเสียเวลา

The past performance is not a good predictor of future returns.

3. เจาะลึกประเด็นเกี่ยวกับ ผลตอบแทนย้อนหลัง

ในหัวข้อนี้เราจะลงไปศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นเรื่องผลตอบแทนในอดีตกัน เพราะน่าจะมีหลายคนสงสัยว่า ถ้าวิธีนี้ไม่ดี มันไม่ดีเพราะอะไร ไม่ดียังไง แล้วเราจะใช้วิธีไหนในการเลือกกองทุนรวมกันล่ะ?

I. โฆษณาผลตอบแทนกองทุนรวม

ประเด็นแรกที่เราจะเริ่มกันก็คือ ในหมู่นักวางแผนการเงินหรือผู้แนะนำการลงทุนมักจะเลือกกองทุนรวมที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมที่ผ่านมาให้ท่าน หรือสื่อทางการเงินต่าง ๆ อันรวมไปถึงบลจ.เองก็ตาม มักจะอ้างกองทุนอันดับหนึ่งหรืออันดับต้นขึ้นมาแสดงให้ท่านดู หากแต่ข้อมูลเหล่านี้นั้น อาจเป็นการโฆษณาระยะสั้นที่มักจะเลือกบางช่วงเวลาสำหรับการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานย้อนหลัง หรือเลือกชนิดและจำนวนกองโดยเฉพาะและใช้กองทุนจำนวนน้อย หรือตัดอะไรบางอย่างทิ้งไป[1. Malkiel, A Random Walk down Wall Street, 398-399; see also Ferri, All About Index Funds, 26.] ด้วยเหตุนี้ ถ้าเกิดผลตอบแทนช่วงนี้ของกองทุนดี หรือพอดูผลตอบแทนของกองทุนของบลจ.นั้นเป็นช่วงที่ผลตอบแทนสูงจนชนะกองทุนของเจ้าอื่น ๆ เหล่าบลจ.และกองทุนทั้งหลายย่อมไม่พลาดโอกาสในการโฆษณาอยู่แล้ว

ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนที่พยายามเลือกกองทุนโดยดูผลตอบแทนที่ผ่านมาอันเป็นวิธีที่ไม่ทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนและเปล่าประโยชน์ จะยิ่งทำลายความมั่งคั่งของตนเองทิ้งเข้าไปอีก ถ้าเกิดพยายามสลับสับเปลี่ยนโยกย้ายกองทุนเป็นว่าเล่น[1. Lynch and Rothchild, Beating the street, 81; see also Malkiel and Ellis, The Elements of Investing, 90.] เช่น ขายกองทุนเดิมทิ้งไปลงทุนกองทุนใหม่ที่ได้ที่หนึ่งโดยดูจากผลตอบแทนย้อนหลังที่ถูกประกาศหรือโฆษณา

Peter Lynch เห็นว่า การพยายามนั่งไล่ดูผลตอบแทนย้อนหลัง และการที่บุคลากรในวงการเงินและสื่อต่าง ๆ นั่งรวบรวมผู้ชนะในอดีต แม้มันจะดูเป็นงานอดิเรกของวงการกองทุนรวมและนักลงทุน มีหนังสือ มีบทความมากมายเขียนขึ้นเพื่อสิ่งนี้ แต่นั่นล่ะมันเป็นเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์หรือเสียเวลา[1. Lynch and Rothchild, Beating the street, 68.] ซึ่ง Ferri ก็ได้เตือนด้วยว่า ไม่ว่าบลจ.หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจะสาธยายเรื่องผลตอบแทนในอดีตหรือจะทำนายว่ากองทุนไหนจะเป็นผู้ชนะในอนาคต ข้อมูลเหล่านี้ค่อนข้างจะไม่สำคัญและไร้ประโยชน์ครับ (irrelevant and useless)[1. Ferri, All About Index Funds, 26-27.]

IIกองทุนมีสัญลักษณ์และรางวัล

บางกองทุนรวมได้รับการจัดอันดับหรือในบางครั้งมีการติดดาว อันบลจ.หรือฝ่ายขายก็จะทำการแปะติดดาวป่าวประกาศ ยิ่งมี 5 ดาว สื่อและโฆษณาจะถูกประทับตราแปะบนโบว์ชัวร์หรือเอกสารประกอบการขาย ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่อาจจะเชื่อว่าการได้ดาวระดับดีเลิศครบ 5 ดาวย่อมเป็นการรับประกันว่ากองทุนนี้จะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคตไปด้วย

เปล่าเลยครับ…

แม้กระทั่งระบบดาวของ Morningstar ก็ไม่อาจทำนายผลตอบแทนในอนาคตของกองทุนรวมได้[1. Malkiel and Ellis, The Elements of Investing, 39.] กองทุนที่เคยได้ดาวน้อยในอดีตก็อาจจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าในอนาคต และกองทุนที่ได้ดาวมากในปัจจุบันก็อาจทำผลตอบแทนได้แย่ในเวลาต่อมา ต้องอย่าลืมการจัดอันดับหรือการติดดาว ข้อมูลที่ใช้ต้องมีองค์ประกอบหนึ่งเป็นเรื่องของผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งไป ๆ มาๆ กลับเพิ่มความเสี่ยงบางอย่างขึ้นมาแทน[1. Charles D. Ellis, Winning the Loser’s Game: Timeless Strategies for Successful Investing, 6th ed. (New York: McGraw-Hill Education, 2013) 126.]

โดย Malkiel อธิบายว่า ระบบดาวไม่อาจรับประกันผลตอบแทนที่เหนือกว่าในอนาคต ไม่รับประกันว่าผลตอบแทนนั้นจะต่อเนื่อง และในอดีตกองทุน 5 ดาวก็อาจจะทำได้ไม่ดีเท่ากองทุน 2-3 ดาวในเวลาต่อมา ด้วยเหตุนี้ Malkiel จึงเสนอว่า นักลงทุนที่ชาญฉลาดควรจะมองทะลุผ่านดาวเหล่านี้ไปซะ[1. Malkiel, A Random Walk down Wall Street, 401.] คล้ายกับความคิดของ John Bogle ที่ว่า ระบบดาวอิงอยู่กับผลตอบแทนที่เกิดขึ้นในอดีตหรือช่วงเวลาที่ผ่านมา ดังนั้น มันจึงมีแนวโน้มที่จะสนับสนุน (favor) กองทุนที่ร้อนแรง ความนิยมชั่วขณะหนึ่ง(ของตลาด) หรือแฟชั่นกองทุนที่เปลี่ยนแปลงได้ และกองทุน 5 ดาวหลายครั้งก็ลดลงไปสู่ 1-2 ดาวได้ในระยะเวลาไม่นาน[1. John C. Bogle, Bogle On Mutual Funds: New Perspectives For The Intelligent Investor (Hoboken: Wiley, 2014), 158.]

อนึ่ง แม้จะมีบทความที่เสนอว่าดาวอาจใช้ในการชี้วัดผลการดำเนินงานในอนาคตได้ หากแต่ข้อสรุปนี้ยังถูกอภิปรายถกเถียงโต้แย้งอยู่ว่ามันมีข้อสังเกตบางอย่างที่ต้องพิจารณา และ งานวิจัยจำนวนหนึ่งที่ทำการศึกษาเรื่องระบบการให้ดาว ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเรื่องที่ยากมากที่ผู้จัดการกองทุนจะทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดตลอดเวลา และมันไม่เกี่ยวข้องเลยกับผลตอบแทนในอดีตที่พวกเขาทำได้ด้วย

ถ้าหากนักลงทุนต้องการตัวแปรที่จะช่วยในการทำนายผลตอบแทนที่ดีในอนาคต แม้ระบบดาวจะไม่สามารถช่วยได้หากแต่ “อัตราส่วนค่าใช้จ่าย” ของกองทุนรวมกลับเป็นสิ่งที่ใช้ทำนายได้[1. Malkiel and Ellis, The Elements of Investing, 142.] ยิ่งค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับต่ำยิ่งทำนายได้ว่ากองทุนรวมนั้นจะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงในอนาคต

พูดถึงประเด็นนี้ ผมนึกถึงสมัยผมเข้ามาเริ่มลงทุนและทำการศึกษาเรื่องกองทุนรวมประมาณปี 2012 ผมค่อนข้างจะตื่นตาตื่นใจกับการที่กองทุนรวมได้ 5 ดาวมาก ๆ แต่สักพักผมก็มีเรื่องให้ฉุกคิดบางอย่างกับระบบดาว ถ้าท่านจำได้ช่วงที่ราคาทองคำร้อนแรงให้ผลตอบแทนดี ผมที่นั่งเรียงลำดับดาวดูก็จะพบว่า กองทุนที่ได้ 5 ดาวจำนวนมาก คือ กองทุนรวมทองคำ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น กองทุนหุ้นต่าง ๆ กลับได้จำนวนดาวต่ำลงไป เพราะช่วงปลายปี 2011 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ช่วงนั้นตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนต่ำ กองทุนหุ้นจึงทำผลตอบแทนได้ไม่ดี

ข้อฉุกคิดข้างบนจึงเป็นครั้งแรกที่ผมสงสัยว่า การอ้างอิงดาวในการลงทุนน่าจะมีปัญหาบางประการ และเมื่อผ่านมาหลายปี ผมก็ไม่ได้สนใจระบบดาวอีกเลย เพราะกองทุนที่รู้จักก็สับเปลี่ยนหมุนเวียนวนดาวไปมา 2 ดาวบ้าง 5 ดาวบ้าง และในประเด็นนี้ John Bogle ก็ได้ยกตัวอย่างสอดคล้องว่าในอเมริกาก็เคยเกิดปัญหา เพราะบางช่วงเวลา กลุ่มอุตสาหกรรมหรือหุ้นบางประเทศทำผลตอบแทนได้สูง กองทุนที่ร้อนแรงในประเภทสินทรัพย์ดังกล่าวก็จะได้ดาวเยอะขึ้นมา เช่น กองทุนหุ้นต่างประเทศในช่วงปลายของ 1980s หรือกองทุนหุ้นสุขภาพ (health care funds) ในช่วงต้นของยุค 1990s[1. Bogle, Bogle On Mutual Funds, 158.] ซึ่งความนิยมในกองทุนหุ้นสุขภาพเพราะมีผลตอบแทนย้อนหลังดีในบางช่วงเวลาก็คล้ายคลึงกับในประเทศไทยเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองทุนก็ได้ 5 ดาวกันไป จนทำให้บลจ.ต่าง ๆ เข็นกองทุนหุ้นสุขภาพออกมาขายกันเต็มไปหมด

ข้างบนนี้ก็เป็นข้อสังเกตหนึ่งว่า อุตสาหกรรมกองทุนรวมมักจะชอบเลียนแบบหรือแห่ตามกันในการขายกองทุนอะไรสักอย่าง และการขายกองทุนประเภทนั้น ๆ มักจะมาในช่วงที่สินทรัพย์ดังกล่าวหรือประเภทของหุ้นหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆ ทำผลตอบแทนย้อนหลังได้ดีร้อนแรงจนประจักษ์ ซึ่งแน่นอนว่ามันง่ายต่อการขายเพราะมีผลตอบแทนล่าสุดเป็นตัวสนับสนุน และนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ชอบแห่ตามซื้อกองทุนที่ร้อนแรงอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้เห็นในช่วงที่ผ่านมา สำหรับความนิยมไล่ซื้อกองทุนออกใหม่และพฤติกรรมแห่ตามขายกองทุนยอดฮิตของอุตสาหกรรมกองทุนรวม เช่น กองทุนหุ้นสุขภาพ กองทุนที่ลงทุนในธุรกิจผู้สูงอายุ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นยุโรป หุ้นญี่ปุ่น (ซึ่งขายหลังจากที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร้อนแรงปรับตัวขึ้นมามาก) กองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลาง-เล็ก (Mid-Small cap) ฯลฯ

IIIทำไมอดีตไม่อาจทำนายอนาคต

คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถทำนายอนาคตได้ คำตอบของเรื่องนี้ คือ

(1) วิธีการลงทุนของกองทุนบริหารจัดการหรือผู้จัดการกองทุนหรือของบลจ.นั้นเปลี่ยนไปจากเดิม หรือไม่เปลี่ยนไปแต่เป็นวิธีที่ไม่อาจให้ผลตอบแทนดีเหมือนเดิมได้อีกแล้ว เช่น กองทุนบริหารจัดการนี้เคยใช้วิธีลงทุนในหุ้นที่มีสินทรัพย์มาก (asset-play) แต่ปัจจุบันวิธีนี้ไม่ให้ผลตอบแทนดีในช่วงเวลานี้ หรือ จากเดิมกองทุนนิยมลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลมาก ก็เปลี่ยนมาลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลน้อยแต่เน้นเติบโต (อาจเรียกว่าเป็นกรณี Style Drift)

(2) ผู้จัดการกองทุนหรือบลจ.เดิมไม่ได้บริหารกองทุนรวมนั้นแล้ว นี่ก็พบได้ว่ากองทุนรวมนั้นอาจมีผู้จัดการกองทุนใหม่ หรือผู้จัดการกองทุนเก่าลาออก หรือกลุ่มผู้จัดการและคณะกรรมการลงทุนเปลี่ยนชุด หรือบลจ.ถูกควบรวมกิจการทำให้ต้องมีการโยกย้ายกลุ่มผู้จัดการกองทุนเป็นชุดใหม่

(3) กองทุนนั้นมีจำนวนทรัพย์สินที่มากขึ้นทำให้ยากแก่การบริหารจัดการ สำหรับกรณีที่กองทุนนั้นเคยมีขนาดเล็กมาก่อน เช่น เดิมกองทุนมีสินทรัพย์ขนาด 1,000 ล้านบาท พอกองทุนได้รับความสนใจก็มีเงินกลายเป็น 10,000 ล้านบาท ทำให้การซื้อหุ้นขนาดเล็กทำได้ค่อนข้างยาก หรือการซื้อหุ้นบางอย่างติดข้อจำกัดเรื่องต่าง ๆ เช่น สภาพคล่อง หรือสัดส่วนในการลงทุนไปติดข้อกฎหมาย

(4) เป็นแค่เรื่องโชคดีหรือกองทุนซื้อหุ้นถูกตัวชั่วครั้งชั่วคราว 😅

แล้วมีอะไรที่ทำนายผลตอบแทนในอนาคตได้ดี หรือสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมหรือไม่?

คำตอบคือมีครับ สิ่งนั้นก็คือ “ค่าใช้จ่าย(Costs) นั่นเอง

สิ่งที่ค้นพบกันในวงการการเงินก็คือ ยิ่งกองทุนรวมมีค่าใช้จ่ายน้อยเท่าไหร่ โอกาสที่มันจะให้ผลตอบแทนดีในระยะยาวและเป็นผู้ชนะย่อมมีสูงขึ้นตามไปด้วย[1. Ferri, All About Index Funds, 26.] ตัวแปรหลักที่จะทำนายผลการดำเนินงานในอนาคตจึงได้แก่สัดส่วนค่าใช้จ่ายและอัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์ ที่ยิ่งมีค่ามากเท่าไหร่ ผลตอบแทนในอนาคตก็ลดฮวบฮาบลงไปเรื่อย ๆ[1. Malkiel, A Random Walk down Wall Street, 401.]

4. ย้อนดูกองทุนรวมหุ้นไทย

ผมได้เคยทำบทความเกี่ยวกับผลตอบแทนในอดีตของกองทุนรวมหุ้นไทยไว้หลายบทความ และแนวโน้มก็คล้ายกันว่า ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนรวมไม่บ่งบอกอนาคตที่นักลงทุนจะได้ ซึ่งรวมไปถึงการเลือกลงทุนในกองทุนแบบบริหารจัดการมีผู้จัดการกองทุนคัดเลือกหุ้น (Actively Managed Funds) ไม่สามารถทำผลตอบแทนเหนือกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นโดยรวม เช่น บทความเรื่อง ผลตอบแทนของ RMF ในอดีต หรือ ผลตอบแทน LTF ในอดีตไม่อาจบอกอนาคตได้ หรือ ผลตอบแทนกองทุนระหว่างปี 49-58 หรือ RMF กองไหนดี?

หากแต่ในบทความนี้ เราจะมาดูประเด็นเรื่อง การเลือกผู้ชนะโดยดูจากผลตอบแทนย้อนหลัง และนักลงทุนหวังในใจว่ากองทุนเหล่านี้จะยังเป็นผู้ชนะในอนาคตเช่นเดิม มาดูกันว่ามันจะเป็นหวังที่ลม ๆ แล้ง ๆ หรือไม่

ผมมีข้อมูลช่วงปี 2010-2017 ของกองทุนรวมหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้สูงสุด 5 ลำดับแรกของแต่ละปี (เป็นข้อมูลในมือที่สามารถหาได้ ณ ตอนทำบทความนี้) และกองทุนเหล่านี้เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย โดยรวมไว้ทั้งกองทุนปกติและกองทุนที่มีสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอย่าง LTF RMF ซึ่งผมคิดว่ามันควรถูกจับมายำรวมกัน เพราะถ้ากองทุนบริหารจัดการ (actively managed funds) เหล่านี้มีนโยบายเช่นเดียวกันว่า มันจะต้องทำผลตอบแทนได้ชนะผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นไทย

ดังนั้น มันไม่ควรจะมีข้ออ้างว่าจะต้องมาแยกว่าฉันเป็นกองทุนรวมทั่วไป หรือฉันลดหย่อนภาษีได้แบบ LTF หรือ RMF ถ้ามันลงทุนในหุ้นไทยเหมือน ๆ กัน ที่สำคัญเวลานักลงทุนทุกคนเลือกซื้อกองทุนพวกนี้ก็ย่อมต้องหวังว่ามันจะให้ผลตอบแทนสูดสุดอยู่แล้ว และผลก็ปรากฏดังรูปด้านล่างครับ

RANK1

จากรูปท่านจะเห็นได้ว่า ประการแรก กองทุนหุ้นไทยที่ได้ผลตอบแทนสูงสุดอันดับ 1 และ 2 ในแต่ละปี ช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้นไม่ซ้ำหน้ากันเลย และประการที่สอง ท่านที่ซื้อกองทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงสุด 5 ลำดับแรกในปี 2010 ท่านจะพบว่า ใน 7 ปีต่อมา กองทุนเหล่านั้นไม่ติด 5 ลำดับแรกเลยสักปี! ประการสุดท้าย แม้มันจะมีกองทุนที่ยังติดโผอยู่บ้าง แต่ว่าในอนาคตมันจะติดโผอยู่หรือไม่? เขียนมาถึงตรงนี้ท่านยังเชื่ออยู่หรือเกี่ยวกับการดูผลตอบแทนย้อนหลัง

พาทัวร์อีกรอบหนึ่ง คราวนี้มาถึงกองทุนยอดฮิตอย่าง LTF กล้าทายได้เลยว่า ส่วนหนึ่งของท่านที่อ่านบทความนี้ ตอนซื้อกองทุน LTF โดยเฉพาะท่านที่ซื้อเพียงเพื่อลดหย่อนภาษี ท่านก็จะมองหากองทุนรวมที่ทำผลตอบแทนได้สูงสุด 🧐 โดยเปิดดูสัปดาห์ท้าย ๆ ของเดือนธันวาคมที่กำลังจะหมดเวลาซื้อ LTF

ลองมาดูข้อมูลปี 2007-2017 ข้างล่างนี้กัน แล้วเราจะเห็นอะไรที่น่าสนใจ

RANKLTF

เห็นอะไรไหมครับ ก็เหมือนเดิมกับรูปก่อนหน้า กองทุนที่ได้ลำดับที่ 1 ในแต่ละปีแทบจะไม่ซ้ำหน้ากันเลย และน่าสนใจตรงที่คนที่ซื้อกองทุนโดยดูผลตอบแทนรวมสูงสุดของปี 2007 จะพบใน 10 ปีต่อมาว่า กองทุนที่ท่านซื้อมานั้นแทบจะไม่ติด 5 ลำดับแรกในแต่ละปีของ 10 ปีต่อมาเลยสักกองทุนเดียว

งานวิจัยทางวิชาการของไทยก็ให้ผลไปในทางเดียวกันว่า กลยุทธ์ที่ซื้อกองทุน LTF หรือ RMF จากผลตอบแทนที่ดีในอดีตไม่อาจชี้วัดได้ว่ากองทุนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนดีในอนาคต และยังพบอีกว่า กองทุนรวมเหล่านี้ทำผลตอบแทนสุทธิ (net returns) ได้ต่ำกว่าผลตอบแทนรวมเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์โดยห่างและต่ำกว่า 2-3% ต่อปี[1. ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์, “ผลตอบแทนและความต่อเนื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่มีนโยบายเชิงรุก,” วารสารบริหารธุรกิจ นิด้า 22 (พฤษภาคม 2561): 61.]

แล้วจะทำอย่างไรดีในการเลือกกองทุนรวม ในเมื่อมันดูผลตอบแทนที่ผ่านมาแล้วเสียเวลา?

คำตอบง่ายมาก คือ ทำใจ! ครับ และยอมรับว่า ผลตอบแทนในอดีตของกองทุนรวมไม่สามารถทำนายผลตอบแทนในอนาคตได้ การเลือกกองทุนรวมโดยดูผลตอบแทนย้อนหลังเป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพเลย[1. John C. Bogle, John Bogle on Investing: The First 50 Years (Hoboken: Wiley, 2015), 121.]

5. บทสรุปเกี่ยวกับ ผลตอบแทนย้อนหลัง ของกองทุนรวม

ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ มันไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนในช่วงเวลาหนึ่งกับผลตอบแทนในช่วงเวลาถัดไป เป็นการยากมากที่นักลงทุนจะมีเครื่องรับประกันว่านักลงทุนจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคตโดยใช้วิธีลงทุนในกองทุนที่มีผลตอบแทนดีในช่วงที่ผ่านมา คุณไม่อาจจะเอาชนะตลาดได้สม่ำเสมอจากการซื้อกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดได้ เพราะว่า อดีตไม่สามารถทำนายอนาคตได้ในวงการกองทุนรวม[1. Malkiel, A Random Walk down Wall Street, 399.]

ด้วยเหตุนี้ วิธีที่ดีที่สุดในการทำนายผู้ชนะในอนาคต คือ การดูจาก “ค่าใช้จ่ายของกองทุนรวม“[1. Mel Lindauer, Taylor Larimore, and Michael LeBoeuf, The Bogleheads’ Guide to Investing, 2nd ed. (Hoboken: Wiley, 2014), 116] เพราะค่าใช้จ่ายมีความสัมพันธ์โดยตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนในกองทุนรวมจะได้รับ ยิ่งนักลงทุนเสียค่าใช้จ่ายกองทุนรวมมากเท่าไหร่ ผลตอบแทนในอนาคตที่นักลงทุนจะได้รับก็จะลดลงไป[1. Malkiel and Ellis, The Elements of Investing, 88.] และในทางกลับกัน ยิ่งจ่ายน้อยเท่าไหร่ อนาคตที่กองทุนรวมนั้นจะทำผลตอบแทนได้ดีก็ยิ่งมีมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ส่วนใหญ่แล้วกูรูในวงการการเงินจึงมักจะแนะนำ “กองทุนดัชนี” เป็นเครื่องมือหลักในการลงทุน โดยให้นักลงทุน ลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ (low-cost index funds)

โดยสาเหตุก็เพราะว่า ค่าใช้จ่ายที่ต่ำจะนำไปสู่โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนในอนาคตที่สูงขึ้น[1. ibid., 87.] และการลงทุนกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำก็เพิ่มโอกาสในระยะยาวที่นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนรวมเท่ากับตลาดหุ้น ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในกองทุนบริหารจัดการแบบ Actively Managed Funds เพราะกองทุนบริหารส่วนใหญ่ทำผลตอบแทนได้แย่กว่าผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้น

ตัวอย่างของผู้ที่แนะนำเช่นนี้ เช่น Ferri ผู้เสนอว่า อย่าเสียเวลาไปกับการเลือกกองทุนโดยดูผลตอบแทนในอดีตเลย การลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามาก[1. Ferri, All About Index Funds, 27.] หรือ Malkiel กับ Ellis ที่เห็นว่า การลงทุนในกองทุนดัชนีแบบ broad-based index ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำจะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยในอนาคต[1. Malkiel and Ellis, The Elements of Investing, 91.] หรือ John Bogle ที่เห็นว่า กองทุนรวมที่ชนะตลาดในระยะยาวถือว่าเป็นข้อยกเว้นในอุตสาหกรรมกองทุนรวม เพราะฉะนั้นแทนที่จะมัวหาเข็มในกองฟาง (กองทุนผู้ชนะ) การซื้อทั้งกองฟาง (กองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ) น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า [1. John C. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 86.]

แม้กระทั่งบทความของ Russell Kinnel ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Morningstar เองยังเสนอแนะว่า ในโลกของกองทุนรวมนั้น ตัวเลขของค่าใช้จ่าย (expense ratio) ดูจะเป็นสิ่งเดียวในโลกกองทุนรวมที่ช่วยในการตัดสินใจได้ กองทุนรวมที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ๆ ในทุกกองทุนแบ่งตามประเภทสินทรัพย์ และในทุกช่วงเวลา สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่ากองทุนรวมที่มีค่าใช้จ่ายสูง ๆ

โดยสรุปจึงเห็นได้ว่า การลงทุนในกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนย้อนหลังสูงหรือกองทุนอันดับหนึ่งเป็นวิธีที่ไม่อาจทำนายได้เลยว่าท่านจะได้ผลตอบแทนสูงในอนาคตเช่นเดิมหรือไม่ และส่วนใหญ่คำตอบจะกลายเป็นว่า “ไม่” ซึ่งการยอมรับว่า การมานั่งดูผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์และเสียเวลา นักลงทุนจะหลุดพ้นจากความเชื่อกระแสหลักในวงการลงทุน หลุดพ้นจากสื่อและการโหมกระหน่ำโชว์โฆษณาผลตอบแทนในอดีต หลุดพ้นจากการผลาญเวลางมหาผู้ชนะ และสามารถนำเวลาไปทำอะไรที่มันมีประสิทธิภาพกว่าเดิมได้

ส่วนวิธีการเลือกกองทุนรวมที่น่าเชื่อถือและมีงานทางวิชาการสนับสนุนก็คือ การเลือกกองทุนจากอัตราส่วนค่าใช้จ่าย และเนื่องด้วยกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำโดยปกติมักจะเป็นกองทุนดัชนี ดังนั้น การลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ หรืออย่างน้อยลงทุนในกองทุนรวมที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ๆ กองทุนพวกนี้นี่ล่ะที่จะสร้างโอกาสที่ทำให้ท่านได้ผลตอบแทนที่สูงในอนาคตครับ

บทความแนะนำอื่นที่ควรอ่านต่อ

(1) ค่าใช้จ่ายของกองทุนรวม

(2) ผลกระทบจากค่าใช้จ่ายต่อนักลงทุน

(3) กองทุนดัชนีคืออะไร

(4) กองทุนดัชนีในประเทศไทย

(5) กฎของการกลับคืนสู่ค่าเฉลี่ย

SET SET50 SET100 ลงทุนดัชนีอะไรดี?

คำถาม: กองทุนดัชนีนั้นควรจะลงทุนในกองทุนดัชนีที่เลียนแบบดัชนี SET Index หรือตัวอื่น ๆ ดี?

ปัญหาที่ว่าควรเลือกลงทุนในกองทุนที่เลียนแบบดัชนีไหน? เป็นอีกหนึ่งคำถามยอดฮิต ซึ่งขออธิบายเริ่มต้นให้เข้าใจก่อนว่า คำแนะนำจากหนังสือที่เกี่ยวกับการลงทุนเชิงรับ (passive investment) หรือตำราที่มีคำแนะนำเน้นให้เราลงทุนกองทุนดัชนีมักจะเขียนไว้ว่า (ถ้าเป็นไปได้) นักลงทุนควรลงทุนในกองทุนดัชนี (Index Fund) ที่มีการลงทุนครอบคลุมที่สุดในลักษณะเป็น Broad-Based Index

1. Broad-Based คืออะไร?

ถ้าจะอธิบายกระชับ ๆ เรื่อง Broad-Based Index ก็คือ เราควรจะลงทุนกองทุนที่มันเลียนแบบดัชนีหุ้นทั้งหมดให้ได้เกือบ 100% ผมยกตัวอย่างดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นสามัญประมาณ 500-600 บริษัท ถ้ากองทุนดัชนีที่เป็นแบบ broad-based กระจายฐานกว้างก็จะต้องลงทุนให้ครบทั้งห้าร้อยหกร้อยหุ้นเหล่านั้น

ประโยชน์ที่สำคัญจากการลงทุนแบบนี้ก็คือ ถ้าลงทุนในกองทุนดัชนีที่ broad-based กระจายฐานกว้างสุด คุณก็จะได้ลงทุนเลียนแบบล้อไปกับตลาดหุ้นจริง ๆ และได้ลงทุนครบทุกหมวดอุตสาหกรรมของดัชนีนั้น ในภาพใหญ่ก็คือการลงทุนในบริษัทที่ผลักดันเศรษฐกิจของดัชนีหรือก็คือเหล่าบริษัทที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั่นเอง[1. Burton G. Malkiel and Charles D. Ellis, The Elements of Investing: Easy Lessons for Every Investor, updated ed. (Hoboken: Wiley, 2013), 2.] และในกรณีที่ค่าใช้จ่ายกองทุนต่ำมาก ผลตอบแทนที่คุณได้รับในอนาคตก็จะใกล้เคียงสุด ๆ กับผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นอย่างแท้จริง

หากแต่มันมีสิ่งที่ต้องพิจารณาประกอบเพิ่มเติม เพราะการจะลงทุนเลียนแบบดัชนีทั้งหมด เช่น สมมติต้องการจะลงทุนเลียนแบบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ได้เป๊ะ ๆ ลองนึกภาพกองทุนที่จะต้องลงทุนทุกบริษัทหรือลงทุนให้ครบทั้ง 500-600 หุ้น มันก็จะเกิดความลำบากขึ้นมานิดหน่อย  เพราะแม้จะมีเทคโนโลยีหรือวิธีการลงทุนที่ทำให้สามารถเลียนแบบใกล้เคียงกับดัชนีได้ เช่น การใช้โปรแกรมที่สามารถคำนวณปรับน้ำหนักหุ้นที่ซื้อเข้ากองทุนรวมให้ใกล้เคียงกับดัชนีที่ต้องการจะเลียนแบบโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องซื้อหุ้นครบทุกตัว หรือการใช้ตราสารอนุพันธ์ (derivatives) ช่วยในการปรับพอร์ตลงทุน

เนื่องจากถ้าจะลงทุนให้ครบหลักทรัพย์หรือหุ้นทุกตัวที่ประกอบกันเป็นดัชนีดังกล่าว บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ครับ ด้วยเหตุผลที่ว่า หุ้นบริษัทขนาดเล็กมาก ๆ ซึ่งมีสภาพคล่องต่ำหรือแทบจะไม่มีการซื้อขาย (ไม่มีคนซื้อขายเป็นเวลาหลายวัน) ปัญหาเหล่านี้ย่อมจะส่งผลทำให้กองทุนดัชนีไม่อาจจะซื้อหุ้นทั้งดัชนีที่มันเลียนแบบให้ครบทุกตัวเป๊ะ ๆ ได้

ด้วยเหตุนี้ในบางครั้ง กองทุนดัชนีที่เลียนแบบทั้งตลาดอาจจะมีค่าใช้จ่ายโดยรวมที่สูงมากจนเกินไปถ้ากองทุนนั้นพยายามจะลงทุนหุ้นให้ครบทุกตัว ซึ่งจะทำให้ในท้ายที่สุด ผลตอบแทนที่กองทุนได้รับย่อมจะต้องถ่างออกไปอย่างมากจาก ผลตอบแทนรวมของดัชนี (Total Return) เพราะผลตอบแทนที่จะได้รับสุทธิจะต้องหักค่าใช้จ่ายกองทุนออกไปก่อน

ต้องหมายเหตุนิดนึงว่า กองทุนดัชนีไม่จำเป็นต้องลงทุนหุ้นครบทุกตัวตามดัชนีก็ได้ หากสามารถลงทุนเลียนแบบผลตอบแทนได้เท่ากับดัชนีนั้น (โดยทั่วไปจะต้องมีข้อยกเว้นระบุในหนังสือชี้ชวนและทำตามนั้นจริง) ซึ่งกองทุนสามารถกระทำได้โดยการใช้โปรแกรมคำนวณสัดส่วนการลงทุน หรือ ใช้วิธีอื่นใดที่ไม่จำเป็นจะต้องลงทุนครบหุ้นทุกตัว โดยกองทุนดัชนีอาจใช้วิธีลงทุนได้หลากหลายแบบ คือ

(1) Full Replication คือ ลงทุนหุ้นครบทุกตัวที่ประกอบเป็นดัชนีนั้น

(2) Optimization ซึ่งเป็นวิธีที่จะลงทุนไม่ครบทุกหลักทรัพย์ แต่ทำการคัดเลือกและปรับน้ำหนักลงทุนให้สะท้อนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีนั้นที่สุด (มี tracking error ต่ำที่สุด) ซึ่งมักจะใช้กับดัชนีที่ค่อนข้างเป็นไปได้ยากในการซื้อหุ้นให้ครบทุกตัว

(3) Cash Equitization อันนี้เป็นวิธีบริหารจัดการเงินสดของกองทุน โดยลงทุนแบบถือเงินสดในบางช่วงขณะและไม่ทำการเข้าซื้อหุ้นโดยตรง แแต่อาจใช้การซื้อตราสารอนุพันธ์ในลักษณะซื้อ Long position เพื่อให้มีต้นทุนที่ต่ำและผลตอบแทนใกล้เคียงเสมือนกับการได้ซื้อหุ้นจริง

นอกจากนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า ประเภทของดัชนี (Index) ที่เลียนแบบหุ้นไม่ครบทั้งตลาดหุ้น ผลตอบแทนก็ย่อมไม่เท่ากับดัชนีใหญ่ที่เลียนแบบหุ้นทั้งตลาดนั้น เช่น ดัชนี SET50 เลียนแบบลงทุนในหุ้นที่มีขนาดมูลค่าตลาด (Market Capitalization or market cap) ประมาณ 70-75% ของมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ ในระยะสั้นนั้นจึงอาจจะมีผลตอบแทนที่ต่ำกว่าผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ เพราะหุ้น 50 ตัวดังกล่าวเป็นหุ้นใหญ่ (Large-cap stocks) ขาดสัดส่วนของผลตอบแทนจากหุ้นขนาดกลาง-เล็ก (Mid-cap and Small-cap stocks) ซึ่งมีจำนวนที่เหลืออีก 500 กว่าตัว (แต่มีมูลค่าตลาดรวมกันแค่ 25-30% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์)

อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่องของการลงทุนกองทุนดัชนีที่มีลักษณะกระจายความเสี่ยงสูงแบบ Broad-based พวกเรานักลงทุนจะต้องดูเรื่องของค่าใช้จ่ายกองทุนประกอบด้วย! เนื่องจากผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่ได้รับอาจถูกทำลายทิ้งได้ง่ายดายจากค่าใช้จ่ายของกองทุนรวมที่สูงปรี๊ดครับ

ไม่ว่าจะเป็นกองทุนที่ลงทุนเลียนแบบดัชนีไหนก็ตาม ถ้าค่าใช้จ่ายมหาศาล มันก็อาจจะกลายเป็นการลงทุนที่ไม่ดีได้

อีกข้อหนึ่งที่สำคัญ คือ ผลตอบแทนในระยะยาวของดัชนีพวกที่เลียนแบบไม่ครบทั้งตลาดหุ้นนี้ แม้จะมีความต่างจากตัวดัชนีใหญ่ แต่ในระยะยาวก็จะมีความใกล้เคียงกันของผลตอบแทนระดับหนึ่ง ถ้าวัดเฉพาะผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่ายนะครับ (gross returns) อารมณ์คล้ายกับดัชนีตลาดหุ้นอเมริกานั่นล่ะ

หากแต่โดยทั่วไปแล้ว หุ้นขนาดเล็กมักจะให้ผลตอบแทนในระยะยาวสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ดังนั้น ดัชนีที่ทำการเลียนแบบลงทุนหุ้นทั้งตลาด (total stock market) ซึ่งจะต้องมีการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กร่วมด้วย จึงมีโอกาสในระยะยาว (มาก ๆ) ที่จะมีผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีหุ้นที่เน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว เช่น ดัชนี SET50 หรือดัชนี S&P500

2. เดินชมกองทุนดัชนีในตลาดหุ้นสหรัฐ

โดยดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นดัชนีที่เป็นที่นิยมที่สุดในการเลียนแบบผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐ และมีเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากจากนักลงทุน กองทุนดัชนีที่เป็นที่นิยมและมีเม็ดเงินลงทุนสูงจึงมักจะเป็นกองทุนดัชนีที่ลงทุนเลียนแบบดัชนี S&P500 เช่นเดียวกันกับกองทุน ETF ที่ได้รับความนิยมก็คือ กองทุน ETF ที่ลงทุนเลียนแบบดัชนี S&P500 อย่าง SPDR S&P500 ETF (SPY) ซึ่งมีขนาดทรัพย์สินสุทธิ (AUM) สูงสุดและมีปริมาณ Volume ซื้อขายสูงสุด หากแต่ดัชนี S&P500 โดยปกติมักจะเลียนแบบหรือเป็นตัวแทนได้เท่ากับ 75% (สามในสี่) ของมูลค่าตลาดของหุ้นสามัญทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา[1. Burton G. Malkiel, A Random Walk down Wall Street: The Time-tested Strategy for Successful Investing, 11th ed. (New York: W. W. Norton & Company, 2016), 386.] (หรือบางช่วงก็สูงถึง 80%)[1.John C. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing: The Only Way to Guarantee Your Fair Share of Stock Market Returns (Hoboken: Wiley, 2007) 24.]

ถ้าอยากจะลงทุนกองทุนที่ให้ผลตอบแทนเกือบเท่าตลาดหุ้นอเมริกาทั้งหมดจริง ๆ ต้องลงทุนในกองทุนดัชนีที่ลงทุนเลียนแบบดัชนี Wilshire5000 หรือ Russell 3000 Index (98% ของตลาด) หรือ CRSP Index หรือ MSCI U.S. Broad Market Index ซึ่งกองทุนรวมทั่วไป (mutual funds) ที่มีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) สูงที่สุดอย่าง Vanguard Total Stock Market ก็ลงทุนเลียนแบบดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐทั้งตลาดครับ โดยกองทุนนี้เลียนแบบดัชนี the CRSP U.S. Total Market Index หากแต่กองทุนรวมทั่วไปที่มีขนาด AUM รองลงมาก็ยังเป็น Vanguard S&P500 อยู่ดีครับ

ส่วนเรื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนเปรียบเทียบระหว่างดัชนีที่ลงทุนเลียนแบบเกือบทั้งตลาดกับดัชนี S&P500  ถ้าลองดูกองทุน Vanguard 500 Index Fund Admiral Shares (VFIAX) ที่ลงทุนเลียนแบบดัชนี S&P500 ช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 10.16% ต่อปี ส่วน Vanguard Total Stock Market Index Fund Admiral Shares (VTSAX) ที่เลียนแบบทั้งตลาดหุ้นอเมริกาให้ผลตอบแทน 10.33% ต่อปี ในขณะที่ถ้าย้อนไปเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2000 กองแรกให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.10% ส่วนกองอันหลัง 6.69% ต่อปี ตามรูปด้านล่างนี้ครับ

vannnnnnnn

ดังนั้น กองทุนดัชนีที่อาจจะเลียนแบบไม่ครบหุ้นทั้งตลาด แต่เป็นการลงทุนในดัชนีที่เลียนแบบใกล้เคียงผลตอบแทนทั้งหมดของตลาดก็อาจจะใช้แทนกันได้ ถ้าเกิดว่าค่าใช้จ่ายเทียบแล้วต่ำกว่ามาก แต่หากค่าใช้จ่ายทั้งหมดพอกัน ก็จะมีประเด็นบางอย่างให้พิจารณาต่อในหัวข้อที่ 4.

3. กลับมาดู SET ชมตลาดหุ้นไทย

เห็นตัวเลขของตลาดหุ้นสหรัฐแล้ว เรามาลองทำวิจัยเพื่อดูผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยกันบ้าง เนื่องจากข้อมูลผลตอบแทนรวมดัชนี SET100 (Total Return: TR) เริ่มถูกจัดทำ ณ วันที่ 29/04/2005 เราจึงลองคำนวณผลตอบแทนทั้ง 3 ดัชนี เริ่มจากวันดังกล่าวจนถึงข้อมูลสุดท้ายวันที่ทำบทความนี้คือ 05/07/2018  โดยสมมติว่าเราเริ่มลงทุนด้วยเงิน 100 บาท ณ วันที่ 29/04/2005 ก็จะได้ผลตามรูปด้านล่าง

set29405-5718

จากรูปนั้นจะเห็นได้ว่า เงิน 100 บาทที่ลงทุนในทั้ง 3 ดัชนี ได้ผลตอบแทนในช่วงเวลาดังกล่าว (29/04/05 – 05/07/18) ระยะเวลาลงทุนประมาณ 13 ปีนิด ๆ เงินใน SET Index กลายเป็น 401.36 บาท SET50 เป็น 375.61 และ SET100 คือ 380.47 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผลตอบแทนทั้งตลาดห่างจากผลตอบแทนดัชนีลูกอย่างมีนัยสำคัญ และจากกราฟพบว่า มันมาเบนออกช่วงปี 2012 เป็นต้นมา แต่สำหรับคู่ผลตอบแทน 50 กับ 100 ไม่ต่างกันมาก นั่นหมายถึงในช่วงปี 2012 เป็นต้นมา ผลตอบแทนส่วนเกินของตลาดหลักทรัพย์ที่ทำได้สูงกว่าย่อมต้องมาจากหุ้นที่อยู่นอกดัชนี SET100 ซึ่งเป็นหุ้นบริษัทขนาดเล็กทั้งหลายนั่นเอง

หากแต่ดังที่เตยได้เขียนบทความเรื่อง การกลับสู่ค่าเฉลี่ย (Reversion to the Mean) เอาไว้ เราจะต้องพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า บางทีช่วงระยะเวลาก็หลอกเราได้ ถ้าเราจะเชื่อว่าผลตอบแทนระยะยาวของ SET จะสูงมากกว่า SET50 ตลอดไป บางทีมันก็มีปัญหาในเรื่องของเวลาอ้างอิงที่นำมาอธิบาย

เพราะถ้าย้อนกลับไป ณ วันที่จัดทำผลตอบแทนรวม SET50 คือ 02/01/2002 จนถึงวันล่าสุด 05/07/2018 (ระยะเวลาประมาณ 16 ปี 7 เดือน) เราจะพบความประหลาดใจบางอย่างตามรูปด้านล่าง ซึ่งไม่จำเป็นต้องสมมติตัวเลขลงทุนด้วยเงิน 100 บาทเลย เนื่องจากทั้งคู่เริ่มต้นที่ดัชนีผลตอบแทนรวม (TR) ที่ 1000 จุดเท่ากัน และผลปรากฏว่า SET TR กลายเป็น 9890.22 จุด ส่วน SET50 TR กลายเป็น 9852.02 จุด อันเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกันมาก ๆ บ่งบอกว่าระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น สองดัชนีนี้ก็วิ่งควบกันไปกันมา บางทีมันอาจจะถ่างกันสักพัก แต่ถ้าคุณลงทุนระยะยาว มันก็วิ่งมาหากันในบางเวลาในอนาคต

set020102-050718

อย่างไรก็ตาม นั่นคือ ผลตอบแทนรวมของดัชนีครับ เรามาลองดูผลตอบแทนของกองทุนจริงกันดีกว่า ซึ่งคราวนี้ตัวที่จะทำให้คุณผลตอบแทนถ่างจากดัชนีก็คือ “ค่าใช้จ่ายของกองทุนรวม” นั่นเอง และ ยิ่งค่าใช้จ่ายกองทุนสูงเท่าไหร่มันก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนที่คุณได้รับต่ำลง

นักลงทุนสามารถดูค่าใช้จ่ายกองทุนดัชนีจาก 2 บทความนี้: กองทุนดัชนีในไทย และ กองทุน ETF ในไทย

ทั้งนี้ เมื่อเริ่มจากวันที่ 02/01/2002 โดย ณ วันดังกล่าวมีกองทุนที่เลียนแบบดัชนีทั้งตลาดอยู่กองเดียว คือ SCBSET ซึ่งมีราคาหน่วย NAV อยู่ที่ 2.7434 และในวันที่ 05/07/2018 มีราคา NAV ที่ 20.1759 นั่นแสดงว่า หากคุณลงทุนด้วยเงิน 1000 บาทในวันดังกล่าวแล้วถือยาวเป็นต้นมา ณ วันที่ 05/07/2018 เงินลงทุนนั้นจะมีมูลค่า 7,354.34 บาท ในขณะที่ TMB50 มีราคาหน่วย ณ วันที่ 02/01/2002 ที่ 10.0476 ส่วนวันล่าสุด 05/07/2018 อยู่ที่ 98.3036 นั่นคือ เงิน 1,000 บาทจะกลายเป็น 9,783.79 บาท

4. ควรลงทุนดัชนี SET แบบไหนดี?

กลับไปสู่คำถามข้างบนสุด ก็คงต้องตอบว่า ไม่มีคำตอบตายตัวให้ครับ 😳 เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อให้เห็นภาพรวมและมุมมองแต่ละด้านของดัชนีต่าง ๆ ทั้งไทยและสหรัฐ เพราะถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะเห็นนะครับว่า ในระยะยาวนั้น ผลตอบแทนดัชนีที่เป็นแม่ลูกกันมันก็จะวิ่ง ๆ เคียงคู่กันไปในระยะยาว แต่หากค่าใช้จ่ายที่กองทุนดัชนีเรียกเก็บนั้นสูงเกินไป ผลตอบแทนที่คุณได้รับก็อาจจะหายวับไปเป็นมูลค่าที่เยอะมาก

นักลงทุนหลายท่านก็มีความเห็นแตกต่างกันออกไปเรื่องดัชนี แม้เราจะรู้แล้วว่าดัชนี the S&P500 เป็นดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐที่เลียนแบบหุ้นขนาดใหญ่ (Big-cap) แต่ก็ยังมีนักลงทุนหลายท่านที่แนะนำให้ลงทุนกองทุน S&P500 อยู่ เช่น Warren Buffett

ในขณะเดียวกันก็มีนักลงทุนและนักการเงินหลายท่านที่แนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมดัชนีที่เลียนแบบตลาดหุ้นทั้งตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง John Bogle ที่มักจะแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในกองทุนที่เลียนแบบดัชนีหุ้นทั้งตลาด (total stock market) เพราะเป็นดัชนีที่จะได้ถือหุ้นหรือเป็นเจ้าของธุรกิจทั้งหมดในตลาดหุ้นและจะได้รับผลตอบแทนทั้งหมดที่แท้จริงที่หุ้นทั้งตลาดทำได้[1. ibid., 25.] เนื่องจากได้รวมทุกหุ้นเอาไว้ในตัว ไม่ว่าจะหุ้นขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็ก

Malkiel และ Ellis ก็มีความเห็นเช่นเดียวกับ Bogle คือสนับสนุนกองทุนดัชนีที่ลงทุนเลียนแบบหุ้นทั้งตลาดเช่นกัน[1. Malkiel and Ellis, The Elements of Investing, 48.] เพราะดัชนีที่ลงทุนหุ้นทั้งตลาดจะทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนดัชนีที่เลียนแบบดัชนีดังกล่าวสามารถทำการลงทุนในหุ้นทั้งตลาดซึ่งรวมไปถึงได้ลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก ที่ในระยะยาวมักจะมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่[1. Malkiel, A Random Walk down Wall Street, 385.]

หากแต่สิ่งที่เป็นจุดร่วมของนักลงทุนเหล่านี้ในการแนะนำให้ลงทุนกองทุนดัชนีไม่ว่าจะทั้งตลาดหรือแค่ S&P500 คือ

() ทั้งดัชนีตลาดหุ้นที่ครอบคลุมหุ้นทั้งหมดในตลาด (entire market) หรือครอบคลุมหุ้นส่วนใหญ่อย่าง S&P500 ทั้งคู่เป็นดัชนีที่สามารถสะท้อนผลตอบแทนในระยะยาวของธุรกิจต่าง ๆ และผลตอบแทนรวมตลาดหุ้นได้ดีทั้งคู่

() ดัชนีทั้งสองแบบนั้นมีการกระจายการลงทุนที่ดี (well-diversified) เพราะทั้งคู่เป็น broad-based index (หรือเกือบ ๆ broad-based) ทำให้มันมีการกระจายลงทุนหุ้นค่อนข้างครบถ้วน เพราะสิ่งสำคัญคือ นักลงทุนไม่ควรไปมุ่งเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมเพียงอุตสาหกรรมเดียวหรือสองสามอย่าง กองทุนพวกนี้ช่วยลดทอนปัญหาที่นักลงทุนชอบไล่ล่าลงทุนอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง ซึ่งประวัติศาสตร์สอนให้รู้ว่า นักลงทุนที่ทำแบบนั้นมักจะได้รับความเจ็บปวดและสูญเสียเงินอย่างนัก ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมน้ำมัน ทองคำ ธุรกิจสุขภาพ การบิน ยานยนต์ รถไฟ ฯลฯ

() ผลตอบแทนของกองทุนดัชนีในระยะยาว ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ใกล้เคียงตลาดหุ้น จัดว่าเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยนักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนถือกองทุนแบบบริหารจัดการคัดเลือกหุ้น (actively managed funds)

() อย่างไรก็ดี ทุกคนมีคำแนะนำร่วมเช่นเดียวกันว่า จะต้องเป็นกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ๆ ด้วย! 

ก็คงต้องย้ำปิดท้ายอีกครั้งเหมือนในหลายบทความนะครับ (กาดอกจันแปดดอก) ว่า เราจะต้องไม่ลืมกฎแห่งการลงทุนที่เป็นหัวใจสำคัญที่ว่า

มันไม่ใช่แค่ลงทุนในกองทุนดัชนีอย่างเดียว กองทุนดัชนีนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ (lower or lowest index fund) ด้วย 

เพราะค่าใช้จ่ายนั้นสำคัญมากต่อผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับในอนาคต ยิ่งค่าใช้จ่ายมาก ผลตอบแทนในอนาคตที่นักลงทุนจะได้รับย่อมลดน้อยลง

เงินปันผล : หัวใจแห่งผลตอบแทนของหุ้น

เงินปันผล คือ หัวใจของผลตอบแทนระยะยาวของหุ้น คุณเชื่อหรือไม่?

จากกระทู้เดิม SET Index v. SET TRI ที่เคยทำการเปรียบเทียบผลตอบแทนของตลาดหุ้นว่า จริง ๆ แล้วผลตอบแทนสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ผลตอบแทนจากเงินปันผลทบต้น (dividend re-invest) แต่ข้อมูลที่นำมาใช้ คือ ช่วง Jan 2002 – Jan 2017 : ก็ประมาณ 15 ปี

หากแต่ล่าสุดผมได้ข้อมูลครบตั้งแต่เปิดตลาด  (ต้องขอบคุณ งานนำเสนอของบลจ.กรุงศรี ที่ทำให้ต่อจิ๊กซอว์ได้ครบมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ) เพราะผมขาดข้อมูล SET TRI ช่วงปี 1975-2001 (หรือช่วง พ.ศ. 2518-2544) ได้ภาพด้านล่างนี้เลยต่อยอดได้เลย

SET TRI by KSAM

เงินปันผล คือ หัวใจของผลตอบแทนตลาดหุ้น

เพราะฉะนั้นเราจะมาดูกันว่า ตั้งแต่เปิดตลาดหุ้น เมษายน 2518 – ธันวาคม 2559 (April 1975 – Dec 2016) หรือเป็นเวลา 42 ปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แบบคำนวณราคา SET Index (SET PR) ที่โชว์หราอยู่ทุกวันนี้ กับผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์ที่คิดคำนวณรวมเงินปันผลทบต้นไปด้วย (SET TRI) ส่วนต่างจากพลังของผลตอบแทนเงินปันผลเป็นอย่างไรบ้าง?

และนี่คือ ผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์ อันบอกเราอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งดั่งแสงตะวันได้ว่า เงินปันผล คือ หัวใจของผลตอบแทนจากตลาดหุ้น เพราะถ้าคุณนำมันมาลงทุนแบบทบต้น โอ้โหว โปรดดูนี่ครับ

SET PR v TR 1975-2016.JPG

จากจุดสตาร์ทเริ่มต้น ณ วันที่ตั้งตลาดหุ้น คือ เมษายน 2518 ดัชนีทั้งสองเริ่มที่ 100 จุด หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป 40 กว่าปี ท่านจะเห็นได้ว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม ปี 2559 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) อยู่ที่ 1542.94 จุด หากแต่ดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์ (SET Index Total Return) อยู่ที่ 9065.29 !!!

นั่นเท่ากับว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนของราคา (price index) คิดเป็นแค่ 17% ส่วนที่หายไปกว่า 83% คือผลตอบแทนจากเงินปันผลที่นำมาทบต้น อื้อ หือออ ข้อสรุป ณ ตรงนี้คือ

ในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนที่สำคัญที่สุดของตลาดหุ้นที่เป็นหัวใจอย่างแท้จริง คือ ผลตอบแทนจากเงินปันผลทบต้น เพราะคิดเป็นร้อยละ 80-85 ของผลตอบแทนรวมทั้งหมดของ ถ้าคุณลงทุนถึง 40 กว่าปี

นอกจากนี้ระยะเวลา 41 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ยังให้ผลตอบแทนทั้งหมด (SET TRI) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนทบต้นถึง 11.33% ต่อปีด้วย (หากคิดปัดเต็มเป็น 42 ปี) แต่หากคิดปี 1975 ซึ่งมีแค่ช่วง 30/04/75 ถึงสิ้นปีก็จะได้ผลตอบแทนที่ประมาณ 11.4% ต่อปีครับ

ประเด็นความคิดเรื่อง เงินปันผล

(1) ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นไทยในอดีต ค่อนข้างใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นอื่น ๆ ที่ประมาณ 9-11% ทบต้นต่อปี โปรดขีดเส้นใต้คำว่ายาว กรณีนี้คือลงทุน 40 กว่าปี ระยะเวลาลงทุนต่ำกว่า 10 ปีไม่นับว่ายาว และแน่นอนว่าคนที่ลงทุนแค่ 1-2 ปีจะใช้คำว่ายาวไม่ได้ พวกลงทุนหลักวัน หลักเดือนยิ่งห่างไกลลิบ ๆ

(2) ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นที่แท้จริง เกิดจากพลังของดอกเบี้ยทบต้นเงินปันผล นั่นคือ การนำเงินปันผลที่ได้รับมาลงทุนกลับ (dividend re-invest) เป็นการพิสูจน์สิ่งที่อ่านมาจากหนังสือหลายเล่ม[1. มีหนังสือหลายเล่มมากที่บอกว่า ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นจริง ๆ แล้วนั้น เงินปันผลเป็นสัดส่วนใหญ่และสำคัญที่สุดของผลตอบแทนตลาดหุ้น ช่น หนังสือ Stock for the Long Run ของ Jeremy J. Siegel หรือหนังสือ John Bogle on Investing และ Bogle on Mutual Funds ของ John C. Bogle ครับ ซึ่งความสำคัญของเงินปันผลยังรวมไปกรณีของหุ้นรายตัวด้วยเช่นกัน เพราะเงินปันผลทบต้นส่งผลให้การลงทุนในหุ้นบางตัวได้ผลตอบแทนสูงมาก ๆ ด้วย อาทิ หุ้นบริษัท Phillip Morris, Exxon Mobil]

(3) เงินปันผลในข้อ 2 ไม่ได้หมายถึง เงินปันผลของกองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผล ใครไม่เข้าใจ โปรดอ่านอันนี้ครับ > ความไม่เข้าใจเกี่ยวกับ “กองทุนปันผล”

(4) จากข้อ 2 คงเห็นแล้วนะครับว่า หัวใจของผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้น มาจากการลงทุนให้นาน ลงทุนถือครองหุ้นไปเรื่อย ๆ ได้เงินปันผลก็นำมาลงทุนกลับ อย่างกรณีกองทุนรวมที่ไม่จ่ายปันผล จะทำการ re-invest อัตโนมัติ ก็เบาภาระเราไปได้ ไม่ต้องซื้อหุ้นลงทุนทบต้นเอง ถ้าถามว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลทบต้นเยอะขนาดไหน ระยะยาวมาก ๆ เกือบครึ่งชีวิตจากข้อมูลข้างบนก็คือ ร้อยละ 85 ของผลตอบแทนรวมกันเลยทีเดียว

(5) เมื่อรู้แบบนี้แล้ว อย่าไปติดภาพมายาที่เห็นว่าตลาดหุ้นยังไม่ไปไหน แล้วก็บอกผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนไม่มีหรอก เลยพยายามซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นหรือกองทุนหุ้น

เพราะฉะนั้น เพื่อให้ได้รับพลังจากเงิ้นปันผลทบต้น เราต้องลงทุนระยะยาวอย่างมีวินัยครับ และลงทุนโดยให้อยู่ในลักษณะของการ re-invest นำเงินปันผลมาลงทุนทบต้นตลอดเวลาครับ สู้ ๆ

เงินปันผล : หัวใจแห่งผลตอบแทนหุ้น

จากกระทู้เดิม SET Index v. SET TRI ที่เคยทำการเปรียบเทียบผลตอบแทนของตลาดหุ้นว่า จริง ๆ แล้วผลตอบแทนสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ผลตอบแทนจากเงินปันผลทบต้น (dividend re-invest) แต่ข้อมูลที่นำมาใช้ คือ ช่วง Jan 2002 – Jan 2017 : ก็ประมาณ 15 ปี แต่ล่าสุดผมได้ข้อมูลครบตั้งแต่เปิดตลาด  (ต้องขอบคุณ งานนำเสนอของบลจ.กรุงศรี ที่ทำให้ต่อจิ๊กซอว์ได้ครบมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ) เพราะผมขาดข้อมูล SET TRI ช่วงปี 1975-2001 ไป ได้ภาพด้านล่างนี้เลยต่อยอดได้เลย

SET TRI by KSAM

เพราะฉะนั้นเราจะมาดูกันว่า ตั้งแต่เปิดตลาดหุ้น เมษายน 2518 – ธันวาคม 2559 (April 1975 – Dec 2016) หรือเป็นเวลา 41 ปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แบบคำนวณราคา SET Index (SET PR) ที่โชว์หราอยู่ทุกวันนี้ กับผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์ที่คิดคำนวณรวมเงินปันผลทบต้นไปด้วย (SET TRI) ส่วนต่างจากพลังของผลตอบแทนเงินปันผลเป็นอย่างไรบ้าง? และนี่คือ ผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์ อันบอกเราอย่างแจ่มแจ้งดั่งแสงตะวันได้ว่า เงินปันผล คือ หัวใจของผลตอบแทนจากตลาดหุ้น เพราะถ้าคุณนำมันมาลงทุนแบบทบต้น โอ้โหว โปรดดูนี่ครับ

SET PR v TR 1975-2016.JPG

จากจุดสตาร์ทเริ่มต้น ณ วันที่ตั้งตลาดหุ้น คือ เมษายน 2518 ดัชนีทั้งสองเริ่มที่ 100 จุด หากแต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 40 กว่าปี ท่านจะเห็นได้ว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม ปี 2559 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) อยู่ที่ 1,542.94 จุด หากแต่ดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์ (SET Index Total Return) อยู่ที่ 9,065.29 !!!

นั่นเท่ากับว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนของราคา (price index) คิดเป็นแค่ 17% ส่วนที่หายไปกว่า 83% คือผลตอบแทนจากเงินปันผลที่นำมาทบต้น อื้อ หือออ ข้อสรุป ณ ตรงนี้คือ

ในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนที่สำคัญที่สุดของตลาดหุ้นที่เป็นหัวใจอย่างแท้จริง คือ ผลตอบแทนจากเงินปันผลทบต้น

เพราะคิดเป็นร้อยละ 80-85 ของผลตอบแทนรวมทั้งหมดของตลาดหุ้น ถ้าคุณลงทุนถึง 40 กว่าปี

นอกจากนี้ระยะเวลา 41 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ยังให้ผลตอบแทนทั้งหมด (SET TRI) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนทบต้นถึง 11.62% ต่อปี !!!!!!!!!


ทั้งหมดนี้ บอกเราได้ว่า

  1. ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นไทยในอดีต ค่อนข้างใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นอื่น ๆ ที่ประมาณ 9-11% ทบต้นต่อปี (ขีดเส้นใต้คำว่ายาว กรณีนี้คือลงทุน 40 กว่าปี ระยะเวลาลงทุนต่ำกว่า 10 ปีไม่นับว่ายาว และแน่นอนว่าคนที่ลงทุนแค่ 1-2 ปีจะใช้คำว่ายาวไม่ได้ พวกลงทุนหลักวัน หลักเดือนยิ่งห่างไกลลิบ ๆ)
  2. ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นที่แท้จริง เกิดจากพลังของดอกเบี้ยทบต้นเงินปันผล นั่นคือ การนำเงินปันผลที่ได้รับมาลงทุนกลับ (dividend re-invest) เป็นการพิสูจน์สิ่งที่อ่านมาจากหนังสือหลายเล่ม¹
  3. เงินปันผลในข้อ 2 ไม่ได้หมายถึง เงินปันผลของกองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผล ใครไม่เข้าใจ โปรดอ่านอันนี้ครับ (ความไม่เข้าใจเกี่ยวกับ “กองทุนปันผล”)
  4. จากข้อ 2 คงเห็นแล้วนะครับว่า หัวใจของผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้น มาจากการลงทุนให้นาน ลงทุนถือครองหุ้นไปเรื่อย ๆ ได้เงินปันผลก็นำมาลงทุนกลับ (กรณีกองทุนรวมที่ไม่จ่ายปันผล จะทำการ re-invest อัตโนมัติ ก็เบาภาระเราไปได้ ไม่ต้องซื้อหุ้นลงทุนทบต้นเอง) ถ้าถามว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลทบต้นเยอะขนาดไหน ระยะยาวมาก ๆ เกือบครึ่งชีวิตจากข้อมูลข้างบนก็คือ ร้อยละ 85 ของผลตอบแทนรวมกันเลยทีเดียว
  5. เมื่อรู้แบบนี้แล้ว อย่าไปติดภาพมายาที่เห็นว่า ตลาดหุ้นยังไม่ไปไหน (เพราะดัชนียังไม่ทะลุจุดสูงสุดเดิม – 1,753 จุด) แล้วก็บอกผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนไม่มีหรอก เลยพยายามซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นหรือกองทุนหุ้น

เพราะฉะนั้น เพื่อให้ได้รับพลังจากเงิ้นปันผลทบต้น เราต้องลงทุนระยะยาวอย่างมีวินัยครับ สู้ ๆ



¹
มีหนังสือหลายเล่มมากที่บอกว่า ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นจริง ๆ แล้วเงินปันผลเป็นผลตอบแทนส่วนใหญ่ที่สำคัญของตลาดหุ้น รวมไปถึงหุ้นรายตัวด้วย เช่น หนังสือ Stock for the Long Run ของ Jeremy J. Siegel (กรณีของหุ้นรายตัวก็เช่นกัน เงินปันผลทบต้นยังส่งผลให้การลงทุนในหุ้นบางตัวได้ผลตอบแทนสูงมาก ๆ ด้วย เช่น กรณีของ Phillip Morris, Exxon Mobil) หรือหนังสือ John Bogle on Investing และ Bogle on Mutual Funds ของ John C. Bogle ครับ

วงจรล้มเหลวแบบรถไฟเหาะของนักลงทุน

รูปข้างล่างนี้ กราฟเส้นสีดำคือดัชนีตลาดหุ้น SET INDEX  ส่วนเส้นอื่น ๆ คือ จำนวนหน่วยของกองทุนรวมหุ้น (ปรับให้หลักเท่า ๆ กัน) ถ้าเส้นกองทุนเพิ่มสูงขึ้นแสดงว่า มีจำนวนหน่วยของกองทุนเพิ่ม นั่นคือ มีนักลงทุนเข้ามาเติมเงินซื้อกองทุน ที่ยกมามีกองทุน ABG (อเบอร์ดีนโกรท) TMB50 (ทหารไทยSET50) KFSDIV (กรุงศรีหุ้นปันผล) และ BKA (บัวแก้ว) พวกนี้ล้วนเป็นกองหุ้นกองใหญ่ ๆ ของประเทศไทยที่คนชอบลงทุนกันครับ

934129_1760966617464850_7167614988469173382_n

รูปข้างบนนี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมนักลงทุนในกองทุนส่วนใหญ่ ระยะยาวแล้วพวกเขาน่าจะได้ผลตอบแทนที่น้อยมาก จนถึงขั้นน่าจะขาดทุนกันอย่างแน่นอน สรุปง่าย ๆ ให้เห็นภาพเป็นวัฏจักร

ช่วงที่ (1) เวลาที่หุ้นตก นักลงทุนส่วนใหญ่จะขายกองทุนทิ้ง หรือไม่ได้ทำอะไรเลย คือ จะมีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่ตกใจก็ขายออกไป แต่ส่วนใหญ่จะช็อก แล้วก็อยู่เฉย ๆ อาจจะเพราะทำใจขายไม่ได้ ขาดทุนหนักเกิน โปรดดูช่วงกรอบแดงที่ตลาดหุ้นตกหนัก ๆ จำนวนหน่วยของกองทุนมักจะลดลงหรือไม่ก็คงที่ มีซื้อเพิ่มนิด ๆ เช่น ปลายปี 2008 วิกฤต Subprime หรือปลายปี 2011 ช่วงน้ำท่วมใหญ่ หรือปลายปี 2013 ช่วงที่ตลาดหุ้นไปแตะดอย 1650 จุด แล้วก็ตกมาแรง ๆ)

ช่วงที่ (2) เวลาที่ตลาดหุ้นเริ่มขึ้นเป็นช่วงกระทิงต้น ๆ กำลังค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา เช่น หลังวิกฤตซับพาร์มช่วงปี 2010 หรือต้นปี 2012 จำนวนหน่วยจะลดลงฮวบฮาบเลยครับ นักลงทุนส่วนใหญ่จะเริ่มขายทิ้ง เพราะหน่วยลงทุนที่ถือเริ่มพลิกจากกำไรมาเท่าทุน หรือได้กำไรขึ้นมานิดหน่อย และพวกเขาไม่ลืมความเจ็บปวดที่พึ่งผ่านพ้นไป เพราะฉะนั้น นักลงทุนก็จะออกจากตลาดหุ้นโดยขายกองทุนทิ้งกะแค่เท่าทุน หรือกะว่าได้กำไรน้อย ๆ แค่นี้ ซึ่งในมุมของพวกเขานั้น การเท่าทุนหรืออย่างน้อยกำไรนิดเดียวก็ควรเก็บกำไรก้อนนิด ๆ นั้นไว้ไว้ดีกว่า เพราะพวกนักลงทุนฝังใจว่า ถ้าไม่ขาย เดี๋ยวกำไรหายหมดอีกรอบ

แต่ถ้าดูต่อจะพบว่า จำนวนหน่วยกองทุนทะยานมาก ๆ ช่วงที่ (3) กระทิงปลาย ๆ (ที่ตลาดหุ้นกำลังจะร่วงต่อในอีกไม่ช้า) แสดงว่า เม็ดเงินนักลงทุนไหลกลับเข้ามาซื้อกองทุน ให้ทายคือ พวกเขาจะบอกว่า แม่งเอ้ย ตกรถ! หรือไม่ก็ เฮ้ย! นี่มันขาขึ้นจริง ๆ นี่หว่า เนื่องจากพวกเขาต้องรอให้ชัดเจนแน่ใจว่านี่คือตลาดกระทิงที่ทะยานอย่างรุนแรง พวกเขาจึงจะเริ่มเชื่อและเอาเงินกลับมาลงทุนหนัก ๆ เพื่อเอาคืนซึ่งเงินที่เคยขาดทุนไปตอนสมัยช่วง (1)

บทสรุปสุดท้ายคือ พอตลาดหุ้นตกอีกรอบ นักลงทุนส่วนใหญ่ก็จะกลับไปที่โหมด (1) (2) (3) แล้ววงจรนี้ก็หมุนซ้ำไปเรื่อย ๆ ทำให้เห็นว่า นักลงทุนพยายามกะจังหวะตลาดเข้าออก จับจังหวะซื้อขาย (market timing) แต่จากรูปน่าจะได้เห็นแล้วนะครับว่า ส่วนใหญ่คนที่ลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะขาดทุนในระยะยาว เพียงแค่เพราะเหตุว่า พวกเขาไม่สามารถทนถือกองทุนหุ้นให้ผ่านความผันผวนไปได้ พวกเขาเชื่อว่าเก็งกำไรระยะสั้นน่าจะกำไรกว่า เข้าเร็วออกเร็วน่าจะรวยกว่า แต่สถิติก็คงจะให้เห็นแล้วนะครับว่าพวกเขานั้น “ช้าไปหนึ่งก้าวเสมอ” 

นักลงทุนที่อยากประสบความสำเร็จในการลงทุนกองทุนหุ้น ควรจะหลีกเลี่ยงวัฏจักรวงจรล้มเหลวแบบรถไฟเหาะนี้ ด้วยการลงทุนถือกองทุนหุ้นให้ยาว ๆ ครับ คุณต้องลงทุนระยะยาวผ่านความผันผวนให้ได้ ลงทุนเป็นระยะเวลา 10 ปี+ ขึ้นไปยิ่งดี พยายามถือกองทุนอดทนให้ผ่านความเจ็บปวดช่วงสั้น ๆ ให้ได้ ระยะยาวคุณถึงจะได้ผลตอบแทนก้อนโต และถูกจัดเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้เงินไปจากตลาดหุ้น น่าแปลกที่ว่า เงินมักจะไหลออกจากคนที่อยู่เฉยไม่เป็น คนที่อยู่นิ่ง ๆ มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะการเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นนั้นมีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่เสมอ อาจจะเป็นธรรมชาติของตลาดหุ้นมั้งครับ ที่กระตุ้นเร้าให้คนซื้อ ๆ ขาย ๆ พอไม่มีวินัยในการลงทุนกำกับ คนส่วนใหญ่ถึงไม่ค่อยรวยจากการลงทุน