คลังเก็บหมวดหมู่: General

ออมเงินให้ลูก : วิธีการเก็บเงินให้อนาคตของเด็ก

ออมเงินให้ลูก : อนาคตบุตรหลานอยู่ในมือท่าน

พ่อแม่และผู้ปกครองย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การเลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโตเป็นคนที่ดีและมีคุณภาพในอนาคตนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และแน่นอนว่าการลงทุนอย่างหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ก็คือการลงทุนในอนาคตของคน ๆ หนึ่ง หากการลงทุนในความรู้ให้ผลประโยชน์ที่มหาศาลเพียงใด การลงทุนในเด็กคนหนึ่งให้พร้อมพูนบริบูรณ์ซึ่งความรู้ที่จะทำประโยชน์ให้คนอีกจำนวนมากในอนาคตยิ่งทวีค่ายิ่งไปกว่านั้น

บทความนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่าน บันทึกพอร์ตลงทุนของน้องไอวี่ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ของน้องไอวี่ได้ทำการออมเงินและลงทุนให้สำหรับอนาคตของน้องไอวี่ ซึ่งเป็นความประทับใจของผมมาก คือต้องบอกก่อนว่า ตั้งแต่ผมเขียนบทความลงทุนมาและตระหนักได้ถึงพลังแห่งดอกเบี้ยทบต้น คุณรู้ไหมครับว่าใครที่จะใช้พลังของมันได้ดีที่สุด คำตอบก็คือ ติ๊กต่อก ๆ เด็กแรกเกิดนั่นเอง!

1. ทำไมการ ออมเงินให้ลูก จึงสำคัญมาก

เด็กที่พึ่งเกิดมานั้นได้รับพร 1 ใน 3 ประการของมหัศจรรรย์แห่งดอกเบี้ยทบต้นไปโดยอัตโนมัตินั่นคือ “ระยะเวลาของการลงทุน” เด็กทุกคนอันรวมไปถึงบุตรหลานของผู้ที่อ่านบทความนี้อยู่ มีระยะเวลาลงทุนที่ยาวนานได้มาก เพราะถ้าเอาตามอายุขัยเฉลี่ยคนไทยก็นู่นเลย 70-80 ปี

ส่วนพรอีก 2 ประการที่เหลือก็คือ “จำนวนเงินออม” กับ “อัตราผลตอบแทน” ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้อยู่ภายใต้กำมือและการตัดสินใจของพ่อแม่และผู้ปกครองอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเด็กที่เกิดมาย่อมไม่มีกระแสเงินสดหรือรายได้เงินเดือนและเด็กไม่อาจลงทุนเองได้ ผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กอย่างมหาศาลก็คือคนที่ดูแลเขาและตระหนักได้ว่าควรจะต้องออมเงินหรือลงทุนบางอย่างให้กับเด็กนั้น

ผมขอย้ำอีกครั้งว่า การตัดสินใจเรื่องของ “การออมเงินให้ลูก” เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะส่งผลกระทบต่อเด็กในอนาคตอย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจเริ่ม ออมเงินให้ลูก และทำอย่างถูกต้อง อนาคตของเด็กในภายภาคหน้าจะเจิดจ้าอย่างมากและแจ่มแจ้งยิ่งกว่าแสงตะวันในตอนเที่ยง

ในเมื่อตัวเด็กนั้นได้พลังแห่ง “เวลา” ไว้ข้างกาย แต่สองผสานที่เหลือทั้ง “จำนวนเงิน” และ “ผลตอบแทน” กลับไปอยู่ในมือของพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือคนที่ดูแลเด็ก ทุกสิ่งที่พวกเขาได้ตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจย่อมส่งผลกระทบในระดับสูงสุดกับอนาคตและความมั่งคั่งเด็กทั้งนั้น เรามาดูตัวอย่างข้างล่างนี้กัน

สมมติว่าเราเริ่มต้นที่เด็กอายุ 1 วันกันเลย หากพ่อแม่หรือคนที่เกี่ยวข้องเริ่มเก็บเงินออมเงินให้ลูกในวันนี้ เด็กจะต้องเรียนอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัยในอนาคต ซึ่งกว่าเด็กจะเข้ามหาวิทยาลัยก็ราว ๆ อายุ 17-18 ปีและหากต่อปริญญาโทเลยก็ในช่วงเวลาใกล้กัน 22-23 ปี นั่นเท่ากับว่าพ่อแม่ผู้ปกครองย่อมจะต้องส่งเสียเลี้ยงดูค่าใช้จ่ายในส่วนของการเรียนการศึกษาไปกว่า 20 ปี และโดยปกติมันย่อมจะต้องรวมถึงค่าอาหาร เดินทาง ที่อยู่อาศัย และอิจิปาถะอื่น ๆ ด้วย

มาดูกันว่าทำไมพ่อแม่จึงเป็นผู้กำหนดทิศทางของเงินในอนาคตเด็กอย่างมาก

หากเราต้องการเก็บเงินให้เด็กในช่วงปริญญาตรี นั่นคือ ตอนอายุ 18 ปี และในกรณีสำหรับต่อปริญญาโทก็คือ 22 ปี หากพ่อแม่ผู้ปกครอง เก็บเงินให้ลูก เดือนละ 1,000 บาทไว้ในบัญชีออมทรัพย์ ซึ่งผลตอบแทนตอนนี้เกือบติด 0% (ขนาดสลากออมสิน 5 ปีแบบไม่ถูกรางวัลก็ให้ผลตอบแทนไม่มากไปกว่านั้นคือ 0.8% ต่อปี) อันเราจะคำนวณแบบหยาบ ๆ ไปเลยว่าเป็นการออมเงินให้ลูกโดยไม่มีผลตอบแทน หากคิดเงินก้อนที่จะได้ก็คิดจากเงินเก็บปีละ 12,000 หรือ 18 ปีก็จะได้ 216,000 หรือถ้า 22 ปีก็ 264,000 บาท

เปลี่ยนใหม่เป็นการเก็บเงินในอะไรที่ได้ผลตอบแทนช่วง 2-3% ต่อปี เช่น เงินฝากประจำ หรือกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งผมใช้ตัวเลขผลตอบแทนคือ 3% ต่อปี การลงทุนด้วยเงิน 1,000 ทุกเดือนตั้งแต่อายุ 1 วัน พอถึงอายุ 18 จะได้เงิน 280,973.22 ส่วนอายุ 22 ปีได้ 366,441.36 บาท

หากเปลี่ยนอีกทีเป็นอัตรา 8% ต่อปี โดยอ้างอิงผลตอบแทนช่วงต่ำของ ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้น ความอัศจรรย์ก็จะบังเกิดครับ เพราะการออมเงินให้ลูกหลานเดือนละ 1,000 บาทนั้น เมื่อลูกหลานอายุ 18 ปีจะมีเงิน 449,402.92 (เกือบ 5 แสน) ส่วนตอนอายุ 22 ปีจะมี 665,481.06 บาท (เกือบ 7 แสน)

คุณอาจจะว่าไม่เห็นถึง 1 ล้านเลย แต่ผมขอให้อ่านย้อนอีกครั้ง นี่คือเดือนละ 1,000 บาท! หากท่านอยากรู้ตัวเลขของออมเงินเดือนละ 2,000 หรือ 3,000 ท่านก็จับตัวเลขข้างบนของผมไปคูณ 2 หรือคูณ 3

เห็นไหมครับว่าทำไมถึงสำคัญ หากเราถือคติว่าสิ่งที่จะให้ได้ดีสุดอย่างหนึ่งในชีวิตคนคือการศึกษา การที่ท่านออมเงินเพื่อการเล่าเรียนของบุตรหลานน้อยหรือออมเงินและลงทุนไม่ถูกที่ กำลังของทุนในการสนับสนุนอนาคตเด็กจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงหรือจะไม่รับแรงกระแทก หรือไม่อาจเปิดโอกาสสำหรับเด็กในอนาคต ทั้งหมดนี้จึงล้วนอยู่ที่การตัดสินใจทางการเงินของพ่อแม่ผู้ปกครองเลย

2. ประเภทของ เงินออมเพื่อลูก

อย่างแรกที่ต้องเข้าใจก่อนคือ ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนของบุตรหลานนั้นมันมีลักษณะคล้าย ๆ การก้าวขึ้นบันได เราจะต้องมองไปที่ขั้นสูงสุดว่าจะไปถึงจุดหมายยังไง หากแต่ระหว่างเดินมันก็จะมีเป็นชั้น ๆ ให้ก้าวข้าม ซึ่งค่าใช้จ่ายในการศึกษาก็เช่นกัน ระหว่างที่เรามองไปยังค่าใช้จ่ายในชั้นปริญญา เราก็ไม่สามารถลืมไปได้ว่าเราจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในระดับอนุบาล ประถม และมัธยมก่อน

สมมติเราคิดเรื่องออมเงินตั้งแต่เด็กอายุ 1 วันเช่นเดิม และถ้าตัวเลขนี้ทำให้ท่านขัดใจว่ามาคิดเรื่องเด็ก ณ วันที่เด็กเกิดจะทันหรอ นั่นแสดงว่าท่านมาถูกทางเพราะอันที่จริง (ถ้าเป็นไปได้) เราควรจะคิดไปก่อนที่เด็กจะเกิดมาด้วยซ้ำ!

สำหรับค่าใช้จ่ายเรื่องการศึกษาและอาจจะเรื่องอื่น ๆ ในช่วงต้นของเด็ก ผมคงจะไม่เขียนอธิบายมาก เพราะมันมักจะเป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายในเวลาไม่นาน จึงไม่อาจเอาไปลงทุนอะไรได้มากนัก (ต้องไม่ลืมว่าอย่างการลงทุนในหุ้นควรจะต้องลงทุนยาว 7-10 ปีขึ้นไป) ถ้าจะเขียนอธิบายรวบยอดก็คือ พ่อแม่และผู้ปกครองควรจะต้องมีเงินสำรองไว้สำหรับค่าใช้จ่ายเด็กใน 1-3 ปีข้างหน้าไว้พร้อมเสมอ และควรจะอยู่ในอะไรที่มีระดับปลอดภัย มีสภาพคล่องและถอนมาใช้ง่าย ซึ่งเหมาะสมสุดก็คงจะหนีไม่พ้นบัญชีเงินฝาก หรืออาจจะพักไว้ใน กองทุนตลาดเงิน หรือ กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น

ในขณะที่เงินตอนเรียนมัธยมหรือมหาวิทยาลัยนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถแบ่งไว้ลงทุนแยกได้ เพราะกว่าเด็กจะเรียนมัธยมก็ตอนอายุ 10 ปีขึ้นไป (ม.ปลายก็ราว ๆ 15) มหาวิทยาลัยก็ราว ๆ 17-18 เราจึงควรแยกเงินไว้สำหรับการเรียนของเด็กในชั้นปีโต ๆ กับในชั้นเรียนใกล้ ๆ เช่น ตอนลูกอายุ 1 ขวบเราก็ควรจะแบ่งเงินกลุ่มหนึ่งสำหรับค่าใช้จ่ายในไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งต้องครอบคลุมชั้นอนุบาลเผื่อไว้สำหรับประถมศึกษา หากแต่เราจะต้องแบ่งส่วนเงินกลุ่มหนึ่งให้กับค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียนในมัธยมกับมหาวิทยาลัยแยกออกมาเลย

ดังนั้น แต่ละครอบครัวควรจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนสำหรับการเรียนในอนาคตของลูกอย่างที่อธิบายไปด้านบน โดยแยกจากค่าใช้จ่ายในชั้นปีใกล้ ๆ เช่น ค่าเทอมที่จะต้องจ่ายใน 3 ปีข้างหน้า

3. แนวทางและวิธีการ ออมเงินให้ลูก สำหรับค่าใช้จ่ายระยะยาว

อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะมีคำถามว่า แล้วจะต้องลงทุนอย่างไร? เราลองมาดูกันครับ

(1) จากบทความ บันทึกพอร์ตลงทุนของน้องไอวี่ เนื่องจากคุณพ่อและคุณแม่เป็นผู้ก่อตั้ง Jitta.com และมีแนวทางลงทุนของตัวเองโดยอาศัย Jitta Way ทำให้เราเห็นได้ถึง 2 อย่าง นั่นคือ ความรักที่ครอบครัวนี้มีให้กับเด็กและการวางแผนในเรื่องการเงินในอนาคตของเด็กที่ลงมือทำจริงด้วย โดยเน้นลงทุนในหุ้นผ่านวิธีการคัดเลือกตามแนวทาง Jitta ซึ่งหลักการลงทุนที่คุณตราวุทธิ์คุณพ่อของน้องไอวี่อธิบาย มีความครบถ้วนในเรื่องของการลงทุนระยะยาวของตลาดหุ้นครับ

juneweek1_ivy-04

การลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นจะต้องอาศัยทัศนคติกำกับการลงทุนตลอดเวลา โดยพ่อแม่และผู้ปกครองจะต้องเข้าใจว่า ตาดหุ้นนั้นมีความผันผวนขึ้นลงตลอดเวลา หากแต่ในระยะยาวนั้นผลตอบแทนที่แท้จริงของตลาดหุ้นจะปรากฏออกมา เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำการลงทุนระยะยาว ควบคุมจิตใจตนเอง และจัดการเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนอย่างเหมาะสม เช่น มีการกระจายลงทุนที่เพียงพอ

(2) แนวทางในการลงทุนแบบอื่น ๆ

“สำหรับผมนั้น” ที่ผมยกว่าเฉพาะผม แสดงว่าหากเป็นคนอื่นซึ่งรวมถึงผู้อ่านย่อมไม่ผูกพันจะตัดสินใจตามนี้ ขอให้ทำความเข้าใจหลักการแล้วไปตัดสินใจที่สอดคล้องเหมาะสม ถ้าผมจะ ออมเงินให้ลูก หรือหลานของผม ผมจะลงทุนในหุ้น 100% เพราะ A) เป็นการลงทุนระยะยาวที่มีเวลาเป็นแต้มต่ออันผ่านความผันผวนของตลาดหุ้นช่วงสั้นได้ และ B) ผลตอบแทนหุ้นในระยะยาวน่าประทับใจและเร่งปริมาณเงินได้สูงอันจะสร้างความแตกต่างของเงินในอนาคตเทียบกับการแช่ในเงินฝากไว้เฉย ๆ อย่างมาก

เนื่องจากมันมีมีความหลากหลายในการยอมรับความเสี่ยงและระดับการขาดทุนที่พ่อแม่รับได้ (โปรดสังเกตว่าไม่ใช้ว่าระดับที่ลูกรับได้ เพราะท้ายสุดก็ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ เหมือนที่ลูกไม่อาจเลือกเสื้อใส่เองได้ตอนอายุน้อย) แต่ผมจะเขียนให้ท่านเข้าใจไว้ก่อนว่า ในระยะยาวผลตอบแทนจากหุ้นเป็นผลตอบแทนที่สูงมากระดับ 8-10% โดยเฉลี่ยทบต้นต่อปี หากท่านลงทุนในหุ้น 100% ของเงินลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับเลขพวกนี้ แต่ถ้าลดระดับหุ้นลงเช่นแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้น 50% ที่เหลือเป็นเงินฝาก ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับก็จะลดต่ำลงไปด้วย ซึ่งถ้าอยากให้เงินเท่ากัน ในเมื่อลดผลตอบแทนลงมา ปริมาณเงินเก็บย่อมควรจะต้องสูงขึ้น

หากผมเผื่อเงินไว้ในการเรียนต่อปริญญาโทตอนอายุ 22 ปี สมมติให้ไปเรียนนอกเลยอย่างเต็มที่ เราจะใจป้ำเตรียมไว้สุด ๆ ไปเลยเผื่อเด็ก 3-5 ล้านบาท ผมลองคำนวณแล้วก็พบว่า เพียงทำผลตอบแทนได้ 8% ต่อปีและสามารถออมเงินได้เดือนละ 5,000 บาทก็จะได้เงินในอนาคต 3.3 ล้านบาท หรือ 7,500 บาทก็จะได้ 5 ล้าน ถ้าในระยะยาวได้มากกว่า 8% เงินออมจะยิ่งมากกว่านี้

และแม้ในช่วงเรียนป.ตรีหรือเรียนมัธยม หากมีความจำเป็นก็อาจจะดึงเงินก้อนนี้ออกมาบ้างก็ได้ หากแต่ก็ควรเติมกลับไปให้เยอะกว่าเดิมเพื่อเป็นการชดเชยส่วนของเงินที่ถอนออกมาก่อน และเผลอ ๆ ตัวเลข 3-5 ล้านอาจจะดูสูงไปด้วยซ้ำ หากเด็กไม่ได้เรียนต่อในประเทศอย่าง US หรือ UK หรือไม่ได้ไปเรียนนอก เงินที่เหลือนั้นเป็นส่วนเกินความมั่งคั่งของครอบครัวท่านแท้ ๆ เลย และเผลอ ๆ อาจจะไม่ต้องใช้เงินก้อนนี้ถ้าหากเด็กได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อ เพียงแต่อย่างไรนั้นก็คงต้องใช้สำหรับช่วงเวลาเตรียมตัวไปเรียน เผื่อขาด หรือรองรับความไม่แน่นอนในอนาคตอยู่ดี

โดยวิธีการลงทุนระยะยาวในหุ้นและได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นนั้น พ่อแม่และผู้ปกครองของบุตรหลานสามารถทำได้อย่างเงียบง่ายผ่านการลงทุนระยะยาวใน กองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ซึ่งเป็นวิธีที่นักลงทุนและนักการเงินระดับโลกหลายคนแนะนำ โดยกองทุนดัชนีในประเทศไทยนั้นมักจะลงทุนเลียนแบบดัชนี SET หรือ SET50

และเราสามารถลงทุนระยะยาวได้อย่างง่าย ๆ โดยอาศัยวิธีที่ตัดอารมณ์ในการลงทุนทิ้งและใช้วินัยในการกำกับแทน คือ วิธีลงทุนแบบประจำ (regular investing) ซึ่งก็เช่นเคยว่ามีบุคคลในระดับตำนานของวงการลงทุนหลายคนแนะนำว่าเหมาะสมกับคนทั่วไป และแน่นอนว่าเหมาะสมกับการลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตของลูกหลานด้วย

ถ้าหากเราพูดกันด้วยใจจริง ถ้าผมมีลูก ผมจะกันเงินส่วนหนึ่งลงทุนเป็นประจำผ่านกองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้น 100% เช่น กองทุนดัชนีหุ้นที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ เป็นประจำทุกเดือน หักจากเงินเดือนหรือรายได้โดยอัตโนมัติ เพราะสำหรับผมผู้ซึ่งให้คุณค่ากับการศึกษาและเชื่อเรื่องที่ว่า การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือการลงทุนในด้านการศึกษา (มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน – ไม่สิผมว่ามันเหลือคณานับด้วยซ้ำ) ผมจะไม่พลาดโอกาสที่จะมอบสิ่งที่ทรงค่าที่สุดคือ เงินทุนในการสนับสนุนความรู้ให้กับอนาคตของเขาครับ

4. บทสรุปการ ออมเงินให้ลูก

ผมนั้นอยากจะเขียนเรื่องการออมเงินและลงทุนให้เด็กมาค่อนข้างนาน เพราะไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องอนาคตของเด็กไปได้ และเนื่องจากถ้ารอให้ตัวผมเองมีลูกแล้วเขียนให้อ่านก็คงจะใช้เวลาอีกแสนนาน การได้ไปเห็นบทความของน้องไอวี่จึงเตือนให้นึกถึงว่าลืมเขียนบทความเรื่องนี้ไป

ส่วนตัวก็คงต้องย้ำอีกครั้งว่า การออมเงินเพื่ออนาคตของเด็กที่ได้พลังแห่งระยะเวลาเข้ามาเสริมเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากท่านเสียใจว่าท่านออมเงินและลงทุนช้า โปรดอย่าได้ผิดพลาดหากมีโอกาสซ้ำเป็นครั้งที่สองที่จะได้ออมเงินและลงทุนให้เด็กในอนาคต

อย่างไรก็ดี เท่าที่ผมสังเกตนั้น ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่ผู้ปกครองจะมีการออมเงินในอนาคตให้เด็กกันในระดับหนึ่ง ด้วยพลังแห่งความรักอันบริสุทธิ์ต่อหนึ่งชีวิตเลือดเนื้อเชื้อไข ดูจะทำให้คนทั่วไปมักคำนึงถึงค่าใช้จ่ายเด็กกันอยู่แล้ว หากแต่ปัญหาที่มองไม่เห็นก็คือ คนส่วนใหญ่มักจะคำนึงถึงเฉพาะค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่กำลังจะถึงในภาพใกล้ ๆ โดยละเลยการออมเงินเพื่อการศึกษาของลูกหลานในระยะยาว หรือแม้จะได้คำนึงถึงและมีการกันส่วนให้แต่ก็ยังพลาดไปที่เอาเงินนอนแช่ไว้ในบัญชีเงินฝากอันแทบจะไร้ผลตอบแทน

การตัดสินใจเรื่องวางแผนการเงินในส่วนของค่าใช้จ่ายในการศึกษาเด็กได้ดี ประโยชน์ที่ท่านจะได้รับ บุตรหลานของท่านจะได้รับนั้น ก็ต้องพูดกันอีกครั้งว่ามันมหาศาลเกินกว่าที่จะวัดคุณค่าได้ ย้ำกันเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ด้วยความห่วงใย

An investment in knowledge pays the best interest. — Benjamin Franklin

ผลตอบแทนหุ้น : ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผลตอบแทนตลาดหุ้น

“ผลตอบแทนหุ้น” และผลตอบแทนตลาดหุ้น

ผลตอบแทนหุ้น เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนล้วนสนใจ เรามักจะได้ยินเสมอว่าหุ้นนั้นให้ผลตอบแทนสูง และมักจะตามมาด้วยคำว่าหุ้นมีความเสี่ยงสูง ตัวเลขที่มักพูดกันติดปากคือผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นคือ 10% ต่อปี ซึ่งผลตอบแทนของคำว่าหุ้นในประโยคข้างต้นหมายความถึงผลตอบแทนรวมของทั้งตลาดหุ้น โดยบทความนี้จะมาทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ของผลตอบแทนหุ้นและผลตอบแทนของตลาดหุ้น เพื่อสร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้องสำหรับกำกับการลงทุนระยะยาวของนักลงทุนทุกคนไว้

1. แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ ผลตอบแทนหุ้น และตลาดหุ้น

เรามาเริ่มต้นทำความเข้าใจอย่างแรกเลยก็คือ หุ้น (stocks) คืออะไร? อธิบายคร่าว ๆ หุ้นก็คือสินทรัพย์ในการลงทุนอย่างหนึ่งที่เมื่อท่านซื้อแล้วก็จะได้สิทธิในการเป็นผู้ถือหุ้น มีส่วนร่วมในผลกำไรหรือเงินปันผล รวมถึงสิทธิอื่น ๆ ตามกฎหมาย โดยเบื้องหลังของหุ้นทุกหุ้นก็คือธุรกิจที่มีตัวตนจริง[1. Peter Lynch and John Rothchild, Beating the Street, revised ed. (New York: Simon & Schuster, 1994), 305.] และเรามี วิธีลงทุนหุ้นได้ 2 แบบ คือ ลงทุนคัดเลือกหุ้นเองโดยเปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์ กับการลงทุนผ่านกองทุนรวม

โดยผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นนั้น เราอาจจะพูดกว้าง ๆ ได้ว่า ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนรวมระยะยาวที่ประมาณ 7-11% ทบต้นต่อปี ที่ใช้ตัวเลขฐานกว้างเพราะเราอิงมาจากค่าสถิติผลตอบแทนของตลาดหุ้นหลายที่ในโลกและเพื่อเป็นการตัดปัญหาคำว่าระยะยาวนี่คือกี่ปี ซึ่งโดยปกติเช่นตัวผมนั้นคำว่าลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นควรจะมากกว่า 10-20 ปีขึ้นไป และคำพูดติดปากมักจะเป็นว่าในระยะยาวแล้วหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนระหว่าง 9-10% ทบต้นต่อปี แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรใช้ตัวเลขฐานกว้างไปเลยดีกว่า คือ 7-11% ต่อปีเพื่อให้ตระหนักว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นระยะยาวมีความเหวี่ยงอยู่นิด ๆ

โดยผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นนั้น เราอาจจะพูดกว้าง ๆ ได้ว่า ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนรวมระยะยาวที่ประมาณ 7-11% ทบต้นต่อปี

โดยผลตอบแทนนี้จะมาจาก 2 ส่วน คือ ผลตอบแทนที่มาจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น (capital gain) กับผลตอบแทนจากเงินปันผล (dividend) ซึ่งผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นจะคิดโดยนำเงินปันผลมาลงทุนกลับ (reinvest) และที่เรียกมันว่าผลตอบแทนรวมของหุ้น (Stock Total Returns) ก็เพราะเป็นการคิดผลตอบแทนมาจากการถือหุ้นทั้งตลาดหรือคิดจากผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้น (ไม่ใช่คิดจากหุ้นรายตัว)

ในอีกทางหนึ่งอาจอธิบายได้ว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในระยะยาวมาจากผลตอบแทนจริง ๆ ของธุรกิจต่าง ๆ [เบื้องหลังหุ้น] โดยส่วนหนึ่งมาจากเงินปันผลที่ธุรกิจหรือบริษัทเหล่านั้นจ่ายออกมา และส่วนที่เหลือมาจากอัตราการเติบโตของกำไรธุรกิจ[1. John C. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing: The Only Way to Guarantee Your Fair Share of Stock Market Returns (Hoboken: Wiley, 2007), 192.]

โดยบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ทำกิจการเกี่ยวเนื่องกับชีวิตประจำวันของนักลงทุนอยู่แล้ว และคนทั่วไปก็รู้จักหรือใช้บริการกันอยู่ทุกวัน เช่น ปตท. ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย บริษัทมือถือ บริษัทขนส่งมวลชน ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ ซึ่งการถือหุ้นทุกตัวในตลาดรวมกันก็เปรียบเสมือนดั่งการซื้อและถือส่วนในกิจการของกลุ่มบริษัทที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย

businessinset

นักลงทุนควรจะมองทะลุให้เห็นว่าในอนาคตกลุ่มบริษัทเรานี้ก็จะเติบโตทั้งรายได้หรือกำไรด้วยการขายสินค้าและบริการมากขึ้น ขยายกิจการ เปิดสาขาใหม่ และถึงแม้บางบริษัทจะทำได้ไม่ดีหรือต้องล้มหายตายจากไปก็ตาม หากแต่ในภาพรวมนั้นกลุ่มธุรกิจก็ควรจะเติบโตไปอย่างน้อยก็ตาม GDP และเงินเฟ้อ (inflation) และอย่างที่เกริ่นไปนั้น นักลงทุนยังได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลเข้ามาเสริมอีก

นักลงทุนโปรดคิดภาพในหัวไว้ว่าผลตอบแทนนี้มาจากการที่นักลงทุนซื้อหุ้นทุกตัวในตลาดมาถือเอาไว้ หากนักลงทุนถามว่าเราจะทำแบบนั้นได้หรอ ต้องตอบว่านักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนดังว่านี้ง่าย ๆ โดยการซื้อ กองทุนดัชนี (index funds) ซึ่งลงทุนเลียนแบบหุ้นทั้งตลาดหรือหุ้นเกือบทั้งตลาดครับ[1. ibid., 23.] (ในไทยก้คือดัชนี SET, SET50, SET100 เป็นต้น)

ดังนั้น นักลงทุนหรือคนทั่วไปย่อมสามารถถือครองกลุ่มบริษัทที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ ได้ด้วยเงินก้อนนิดเดียว เช่น 500 บาท หรือ 1 บาท ผ่านการซื้อและถือครอง กองทุนดัชนีที่ลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งนักลงทุนและนักการเงินชื่อดังทั้งหลายก็แนะนำว่า เป็นการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ (low-cost) มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี (well and broadly diversified) และในอนาคตจะทำผลตอบแทนได้มากกว่าการไปซื้อและลงทุนในกองทุนแบบบริหารจัดการคัดเลือกหุ้น (actively managed funds)

“การลงทุนที่ประสบความสำเร็จเป็นเรื่องของการถือครองธุรกิจทั้งหลาย[ในประเทศหรือในโลก]และเก็บเกี่ยวผลตอบแทนที่ได้รับทั้งเงินปันผลและการเติบโตของกำไรจากกลุ่มธุรกิจดังกล่าว”[1. ibid., 6.]

2. ผลตอบแทนหุ้น มีความผันผวนในระยะสั้นแต่เสถียรในระยะยาว

เวลาพูดถึงผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้น เช่น ผลตอบแทนรวมของ SET (SET TR) โดยบอกว่าได้ 10% ต่อปี คนทั่วไปก็จะเถียงว่าหุ้นมันผันผวนมันจะ 10% ต่อปีได้ยังไง! เพราะในความคิดเขาคือ ผลตอบแทนปีที่ 1 ก็คือ 10% ปีสอง 10% ปีสาม ปีสี่ … ก็ปีละ 10% ซึ่งไม่ใช่ครับ เราจึงไม่ต้องแปลกใจที่เราจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งเถียงว่าหุ้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนเท่านี้ เขาจะไปหาผลตอบแทน 10% ต่อปีทุกปีได้ยังไงกัน นั่นเพราะเขาติดภาพของเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยเท่า ๆ กันทุกปี

โดยผลตอบแทนตลาดหุ้นเวลาเขาบอกว่ามีผลตอบแทนคิดเฉลี่ยต่อปีนั้น มันมาจากการคิดย้อนกลับมาว่าในแต่ละปีได้เฉลี่ยเท่าไหร่ หากแต่เรื่องจริงในระหว่างปีมันจะมีความผันผวนรวมถึงติดลบได้ เช่น ปีที่ 1 ผลตอบแทน +10% ปีที่สองผลตอบแทนติดลบ -10% และปีที่สามผลตอบแทน +20% ซึ่งตัวเลขผลตอบแทนเฉลี่ยนั้นควรจะต้องเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้น (compound interest)

สาเหตุที่ต้องใช้ตัวเลขผลตอบแทนทบต้นเพราะถ้าเอาเลขข้างบนมาบวกกันแบบเร็ว ๆ มันจะได้ผลตอบแทนรวมแค่ 10% แต่ถ้าคิดแบบเฉลี่ยทบต้นจะได้ผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 5.91% หรือเราอาจคิดแบบสมมติเงินลงทุน 100 บาท สิ้นปีที่ 1 กลายเป็น 110 บาท สิ้นปีที่สองเป็น 99 บาท สิ้นปีที่สามเป็น 118.8 บาท ผลตอบแทน 3 ปีได้ 18.8 บาทจากเงินต้น 100 ก็เท่ากับได้ผลตอบแทนเสมือนดอกเบี้ยทบต้นที่ 5.91% ต่อปี

เริ่มต้นนั้นเราลองมาดูผลตอบแทนรวมต่อปีของตลาดหลักทรัพย์ไทยตั้งแต่ก่อตั้งปี 1975-2017 (43 ปี) แยกให้เห็นตัวเลขรายปี ดังรูปด้านล่างนี้ครับ

ผลตอบแทนหุ้น ตลาดหุ้น 1975-2017

ท่านจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนในแต่ละปีมีความผันผวนอย่างมาก ซึ่งอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือในระยะยาวนั้นผลตอบแทนรวมรายปีของตลาดหุ้นไทย (SET Total Return: SET TR or SET TRI) มักจะเป็นบวก มีน้อยปีที่ติดลบ จาก 43 ปี มีเพียง 15 ปีเท่านั้นที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนรวมติดลบ (โอกาส 35%) และปีที่ติดลบมากกว่า 15% ก็มีแค่เพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น (โอกาส 16.28%)

การผันผวนของตลาดหุ้น การที่ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เป็นเรื่องปกติเฉกเช่นฤดูต่าง ๆ[1. Lynch and Rothchild, Beating the Street, 46.] ที่ต้องหมุนเวียน มีหน้าหนาวเดี๋ยวก็มีหน้าร้อน หน้าฝน นักลงทุนจะต้องเพิกเฉยต่อความผันผวนช่วงสั้นและอดทนมีวินัยลงทุนระยะยาวให้ได้แม้ในวันที่ดูเหมือนตลาดหุ้นจะถล่มทลายมืดมิดไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ตาม[1. Ken Fisher and Lara Hoffmans, The Ten Roads to Riches: The Ways the Wealthy Got There (And How You Can Too!) (Hoboken: Wiley, 2009), 195.]

ต้องขอแทรกแง่คิดไว้ตรงนี้ว่า การกังวลตลาดหุ้นตกหนักมากไปและพยายามจับจังหวะลงทุนไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะในภาพลงทุนระยะยาวตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่า การนั่งรอหาโอกาสจับจังหวะ (market timing) หรือ การรอหุ้นตก อาจจะทำให้ท่านได้ผลตอบแทนที่ทิ้งห่างจากผลตอบแทนจริงที่ตลาดหุ้นทำได้และเราสามารถจะได้รับผลตอบแทนดังว่าอย่างง่าย ๆ เพียงแค่ลงทุนโดยกลยุทธ์ซื้อแล้วถือครองระยะยาว (buy-and-hold strategy)

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ออมเงินและซื้อสะสมเป็นประจำ (DCA) ลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำไปเรื่อย ๆ อันเป็นวิธีที่เหมาะสมกับคนทั่วไปในการลงทุนระยะยาวของหุ้นและกองทุนหุ้น และเป็นหนึ่งใน 10 วิธีสู่ความร่ำรวยที่ทำได้ง่ายมาก ๆ แค่ต้องอาศัยระยะเวลาลงทุนให้ความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้นทำงาน[1. ibid., 177-178.]

ถามว่าระยะเวลาถือครองหุ้นที่จะทำให้ท่านได้ผลตอบแทนเป็นบวกคือเท่าไหร่ ผมเคยนำข้อมูลของ SET TR ช่วง 2 มกราคม 2002 ถึง 20 พฤศจิกายน 2015 มาจัดทำเป็นผลตอบแทนแบบ Rolling Return นั่นคือ หากท่านลงทุนวันนี้แล้วถือครองไปต่อเนื่อง ท่านจะพบว่าระยะเวลาลงทุน 5 ปีไม่ทำให้ท่านได้ผลตอบแทนเป็นบวกทุกช่วงเวลา เพราะยังมีโอกาสที่ผลตอบแทนจะติดลบได้ หากแต่ระยะเวลา 7 ปีนั้นเป็นช่วงที่ท่านจะได้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอไม่ติดลบ และก็เป็นการสนับสนุนข้อความที่ว่าการลงทุนระยะยาวในหุ้น (โดยการถือหุ้นทั้งตลาด) หากถือเกิน 10 ปีขึ้นไป (แทบ)จะไม่มีโอกาสขาดทุนเลย

ผลตอบแทนหุ้น Rolling Return ถือ 5 ปี

ผลตอบแทนหุ้น Rolling Return ถือ 7 ปี

ด้วยเหตุนี้ ระยะเวลาในการลงทุนจึงสำคัญมาก นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นจะต้องลงทุนระยะยาวอย่างน้อยก็ 7 ปี นั่นนำมาสู่คำถามต่อมา คุณคิดว่า 7 ปีนานไหม? ซึ่งผมคงต้องถามต่อว่า การคบกันของคู่รัก 7 ปีนานไหม แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ถ้าพูดว่าคบกันมา 7 ปีแล้ว คู่รักที่พูดนี้ย่อมเป็นส่วนน้อย ฉันใดก็ฉันนั้น คนที่บอกว่าลงทุนระยะยาวได้ถึง 7 ปี คนที่พูดอาจมีเยอะ แต่คนที่ทำได้จริงอาจจะมีน้อย

เนื่องจากคนส่วนใหญ่ทนความผันผวนในระยะสั้นของตลาดหุ้นไม่ได้ บางคนเห็นหุ้นติดลบภายในสัปดาห์เดียวก็ขายหุ้นทิ้งซะแล้ว การเชื่อมั่นในหุ้นและวางแผนจะลงทุนกับมันนาน ๆ ไปตลอดชีวิต ประเด็นการขายอาจไม่สำคัญนัก และนักลงทุนไม่ควรคิดจะขายมันง่าย ๆ หลังจากลงทุนไปสักพักเพียงแค่เห็นหุ้นผันผวนเกิดตัวเลขขาดทุนช่วงสั้น เปรียบไปก็เหมือนการแต่งงาน การหย่าง่ายไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่จะนำมาใช้เป็นคู่ชีวิตกับใครสักคน

3. ผลตอบแทนหุ้น มาจากเงินปันผลเป็นหลักในระยะยาว

ผมเคยเขียนบทความในเรื่องนี้ไว้ 2 ครั้ง คือ “ผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์ระหว่าง SET PR กับ SET TR” และ “เงินปันผล : หัวใจแห่งผลตอบแทนของหุ้น” ซึ่งในบทความนี้จะทำการอธิบายใหม่อีกครั้งเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนเกี่ยวกับผลตอบแทนของหุ้นและตลาดหุ้นในระยะยาว

เพื่อให้เห็นภาพของการเติบโตของเงินลงทุนที่ได้ผลตอบแทนระดับผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้น (SET TR) หากท่านลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาทตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์มาในเดือนเมษายนปี 1975 (พ.ศ. 2518) มาจนถึงสิ้นปี 2017 (พ.ศ. 2561) รวมเป็นระยะเวลา 43 ปี เงินของท่านจะกลายเป็นเงินถึง 1,243,314 บาท!!!!!! หรือโตในระดับ 124 เด้ง!

ผลตอบแทนหุ้น SET TR 10,000 1975-2017

การที่เงิน 10,000 บาทกลายเป็น 1,243,314 บาท ในระยะเวลา 43 ปี คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นได้ 11.87% หรืออาจอธิบายได้ว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนโดยรวมระยะยาวตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงปี 2017 รวม 40 กว่าปีนั้นสูงในระดับ 11.87% ทบต้นต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนช่วงกว้างที่เกริ่นไว้ช่วงต้นของบทความเสียอีกเพราะนี่สูงมากในระดับเกือบ 12% ทบต้นต่อปีกันไปเลย

ผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นไทย (SET TR) ซึ่งได้รวมเงินปันผลทบต้น ในช่วง 1975-2017 (รวม 43 ปี) อยู่ที่ 11.87% ทบต้นต่อปี

อนึ่ง ถ้าใช้ระยะเวลาเป๊ะ ๆ เนื่องจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มต้นปลายเดือนเมษายน 1975 ระยะเวลาทบต้นจริงจึงต้องเป็น 42 ปีกับอีก 8 เดือน ซึ่งจะได้ผลตอบแทนทบต้นที่ 11.97% ต่อปี ไม่ต่างกันมาก ในบทความนี้ผมจะใช้ตัวเลขที่น้อยกว่าคือ 11.87% เป็นหลัก

ดังที่เคยเขียนบทความไปว่า ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นโดยรวมนั้น แม้นักลงทุนจะคิดว่าราคาหุ้นคือพระเจ้า หากแต่สิ่งที่ทรงพลังที่สุดในการลงทุนหุ้นระยะยาว คือ เงินปันผล (dividend) ที่ทรงพลังขั้นสุดเมื่อนำมาลงทุนกลับในตลาดหุ้น คิดเสมือนว่าเมื่อท่านถือหุ้นทั้งตลาดหุ้นเมื่อหุ้นทั้งตลาดจ่ายเงินปันผล ท่านก็นำกลับมาซื้อหุ้นทุกตัวในตลาดในสัดส่วนเดิมอีกรอบและทำแบบนี้ไป 43 ปี เงิน 10,000 บาทที่ลงทุนตั้งต้นของท่านจะกลายเป็นเงินประมาณเกือบ 1.25 ล้านบาท

หากแต่ชีวิตท่านจะเศร้ามากหากท่านเป็นคนที่เอาเงินปันผลออกไปใช้และภาวนาอาศัยเพียงการขึ้นลงของตลาดหุ้น เพราะผลตอบแทนของตลาดหุ้นเฉพาะราคา (SET Price Return: SET PR) ไม่อาจทำให้ท่านรวยได้หรอก เพราะเมื่อย้อนดูราคาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ที่เริ่มต้น 100 จุด ณ วันที่ตั้งตลาดหุ้นมาจนถึงสิ้นปี 2017 ที่มีมูลค่าดัชนีปิดที่ 1753.71 จุดนั้น หากท่านได้รับผลตอบแทนเพียงเท่า SET Index เงิน 10,000 ที่ท่านลงทุนจะกลายเป็นแค่เงินหลักแสนเพียง 175,371 เท่านั้นเอง

ผลตอบแทนหุ้น เงิน 10,000 TR vs PR 1975-2017

หากคิดเป็นผลตอบแทนแล้ว เงิน 10,000 กลายเป็นเงิน 175,371 ภายในระยะเวลา 43 ปี นั่นเท่ากับว่า ท่านทำผลตอบแทนทบต้นได้เพียง 6.89% ต่อปีเท่านั้นเอง

เมื่อย้อนไปดูตัวเลขผลตอบแทนระยะยาวของ SET TR ที่ 11.87% ทบต้นต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนเฉพาะจากราคาดัชนี (Prices) อยู่ที่ 6.89% ส่วนต่างตรงนี้ที่เพิ่มพูนมาจากเงินปันผลทบต้นจึงคิดเป็นผลตอบแทนต่อปีที่ 4.98% หรือราว ๆ 5% ทบต้นต่อปีเลยทีเดียว![1. ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในช่วงหนึ่งนั้น ผลตอบแทนระยะยาวคือ 11% ต่อปี ซึ่งมาจากส่วนของเงินปันผล 3% ต่อปี See Lynch and Rothchild, Beating the Street, 51.]

นอกจากนี้ ความมหัศจรรย์ของเงินปันผลทบต้นที่ผมอยากให้คุณเห็นก็คือ ผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 1975-2017 อยู่ที่ 11.87% ทบต้นต่อปี แบ่งเป็นผลตอบแทนจากส่วนของราคาดัชนีที่ 6.89% ต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 58 ในขณะที่เงินปันผลจะมีสัดส่วนที่เหลือเพียงร้อยละ 42

หากแต่ระยะเวลาลงทุนที่ยาวนาน พลังแห่งเงินปันผลทบต้นจะทรงพลานุภาพยิ่ง เพราะเรายังจำกันได้ใช่ไหมครับว่า เงิน 10,000 บาทที่ทำผลตอบแทนได้เท่ากับ SET PR จะกลายเป็นเงินเพียง 175,371 ในขณะที่หากได้ผลตอบแทนรวมเท่ากับ SET TR ซึ่งเท่ากับว่าได้นำเงินปันผลมาลงทุนทบต้น เงินก้อนเดียวกันจะกลายเป็น 1,243,314 บาท

หากเอา 1,243,314 – 175,371 จะได้มูลค่าเท่ากับ 1,067,943 ซึ่งเงินจำนวนนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 86% ของเงินที่เติบโตด้วยอัตราดอกเบี้ยทบต้นเท่ากับผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้น

ในระยะยาว 40 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนในการลงทุนหุ้นของท่านจะทวีค่ามหาศาลด้วยพลังแห่งเงินปันผล เพราะมูลค่าเงินออมของท่านในอนาคตประมาณ 85% จะมาจากเงินปันผล ที่เหลืออีกน้อยนิด 15% เท่านั้นที่จะมาจากราคาหุ้น

อนึ่ง นักลงทุนบางท่านเช่น Peter Lynch ก็อธิบายในเชิงที่ว่า ส่วนของราคาหุ้น (stock prices) ที่เพิ่มขึ้น มีเหตุผลเบื้องหลังมาจากการที่บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้มูลค่าของบริษัทสูงขึ้น[1. ibid., 51.] เงินปันผลจึงยังมีความสำคัญไม่เฉพาะผลตอบแทนในส่วนของมันเพียงอย่างเดียว เพราะมันผูกพันไปถึงส่วนของราคาหุ้นด้วย!

โดยวิธีที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนแบบที่อธิบายไปง่าย ๆ ก็เช่นเดิม คือ การซื้อกองทุนดัชนีที่ลงทุนถือหุ้นทั้งตลาดด้วยค่าใช้จ่ายต่ำ ๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในระยะยาว ซื้อสะสมแล้วถือครองอย่างมีวินัย และด้วยระบบของกองทุนรวม เมื่อกองทุนดัชนีถือหุ้นทั้งตลาด หากหุ้นที่กองทุนถือมีการจ่ายเงินปันผล กองทุนดัชนีก็จะต้องนำเงินปันผลมาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มในสัดส่วนตามดัชนีอีกครั้ง การลงทุนในกองทุนรวมจึงทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนทบต้นของตลาดหุ้นที่มีความอัศจรรย์ตรงผลตอบแทนส่วนของเงินปันผลรวมอยู่แล้ว

คนที่จะมีปัญหามากที่สุด ก็คือ คนที่ชอบซื้อกองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ซึ่งจะโดนค่าใช้จ่ายในการส่วนของภาษี และโดยทั่วไปคนเหล่านี้ไม่ค่อยนำส่วนของปันผลที่กองทุนจ่ายกลับมาลงทุนใหม่หรอก หรือจะนำกลับมาลงทุนใหม่ ผมก็จะถามต่อว่าแล้วทำไมจะต้องให้กองทุนมันจ่ายเงินปันผลออกไป ใครไม่เข้าใจหรือต้องการศึกษาเพิ่มเติมให้อ่านบทความนี้ครับ >> ปัญหามายาคติและความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับกองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล

4. ผลตอบแทนหุ้น ได้มาไม่ยากโดยการซื้อแล้วถือหรือนั่งทับมือให้เป็น

ย้อนไปดูรูปนี้กันอีกครั้งนะครับ

ผลตอบแทนหุ้น ตลาดหุ้น 1975-2017

จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนรวมรายปีแต่ละปีของตลาดหุ้นไทยนั้นมีบวกลบเป็นปกติหรือขาดทุนบ้างในบางเวลาและตัวเลขผลตอบแทนรายปีนั้นห่างกันมาก ช่วงห่างอาจเป็นได้ถึงประมาณ +134% และติดลบได้สูงสุดถึง -53% ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นอยู่ที่ประมาณ 12% ซึ่งจะเห็นได้ว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนกับผลตอบแทนรายปีนั้นดูจะแหวกแตกต่างมากมายอะไรปานนี้

คนที่อธิบายเรื่องนี้แล้วผมชอบ คือ John Bogle ซึ่งโบเกิลก็อธิบายในลักษณะคล้าย ๆ กับที่ Warren Buffett อธิบายอีกที[1. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 1.] การจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ ผู้อ่านค่อย ๆ คิดตามที่ผมบรรยายไปนะครับ

I. หมู่บ้านตลาดหุ้นไทย

ลองนึกภาพว่ามีหมู่บ้านหนึ่งชื่อ “หมู่บ้านตลาดหุ้นไทย” ซึ่งสมาชิกในหมู่บ้านแห่งนี้ทุกคนจะได้สิทธิในการเป็นเจ้าของหุ้นหรือมีส่วนในกิจการทั้งหมดของหมู่บ้าน ไล่ไปตั้งแต่สนามบิน ร้านสะดวกซื้อ ธนาคารพาณิชย์และอีกมากมาย ซึ่งโดยปกติถ้าสมาชิกของหมู่บ้านไม่ทำอะไร บริษัทหรือกิจการต่าง ๆ ก็จะทำธุรกิจของมันไป มีรายได้มีกำไรเติบโตไปตาม GDP ของหมู่บ้านกับเงินเฟ้อ และสมาชิกในหมู่บ้านทุกคนจะได้รับเงินปันผล ซึ่งสมาชิกในหมู่บ้านก็จะนำมาซื้อส่วนของกิจการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และราคาของส่วนกิจการที่สมาชิกทุกคนถือก็จะมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วย

ด้วยเหตุนี้ในตอนแรก ผลตอบแทนรวมที่สมาชิกในหมู่บ้านจะได้รับก็คือผลตอบแทนทางธุรกิจที่กิจการทั้งหมดในหมู่บ้านได้สร้างขึ้นซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของราคาและเงินปันผล ซึ่งสมมติว่าได้ 11.87% หรือปัดขึ้นเป็น 12% ต่อปีสวย ๆ (เอ๊ะ เลขคุ้น ๆ) สมาชิกในหมู่บ้านไม่ต้องทำอะไรเลยก็จะได้รับผลตอบแทนเท่านี้ เพียงแค่พวกเขาถือครองหุ้นและกิจการทั้งตลาดแล้วก็อยู่นิ่ง ๆ ทำงานทำการหารายได้ไป เป็นสภาวะที่สมาชิกทุกคนในหมู่บ้านได้ผลตอบแทนทั้งกลุ่มเป็นบวก (positive-sum game)

วันดีคืนดีก็มีเสียงกระซิบจากวงการการเงินและคำแนะนำจากนอกหมู่บ้านว่า แทนที่สมาชิกจะซื้อแล้วถือครองเฉย ๆ ทำไมสมาชิกไม่อยากจะรวยกว่าเดิมหรอ ลองเอาส่วนของกิจการหรือหุ้นที่ถือไปซื้อขายกับสมาชิกหรือชาวบ้านคนอื่นไหม อนิจจาว่าหลังจากนั้น สมาชิกในหมู่บ้านได้เริ่มหันมาซื้อขายหุ้นด้วยกันเองอย่างเมามัน มีการเก็งกำไร มีการเก็งราคา และเสียงกระซิบแห่งการเก็งกำไรเหล่านั้นก็เปลี่ยนมาเป็นโฆษณา สื่อรายวัน ไลน์กลุ่ม เว็บบอร์ด กลุ่มในเครือข่ายสังคมออนไลน์ของหมู่บ้าน

ด้วยเหตุนี้ผลตอบแทนที่สมาชิกแต่ละคนจะได้อีกอย่างก็คือผลตอบแทนส่วนเกินจากการซื้อขายระหว่างกัน แทนที่ทุกคนจะได้ 12% ต่อปีก็มีช่วงแกว่ง ใครเก็งกำไรหรือจับจังหวะซื้อขายได้ดี (หรือโชคดี) ก็จะได้ผลตอบแทนสูงกว่านั้น และธุรกรรมการซื้อขายทั้งหมดรายปีก็ออกมาแตกต่างจากตัวเลขผลตอบแทนระยะยาวที่ 12% ต่อปีซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อทุกคนนั่งเฉย ๆ

ดังนั้น ผลตอบแทนจากการเก็งกำไร (Speculative return: ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ P/E) จึงเป็นผลตอบแทนส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นมาในตลาดหุ้นแต่ละปี หากแต่ถามว่าผลตอบแทนในภาพรวมเพิ่มขึ้นไหม ก็ต้องตอบว่าไม่เพิ่ม! มันเป็นแค่การโยกย้ายส่วนต่างจากคนที่หนึ่งไปคนที่สอง หากแต่เมื่อคิดผลตอบแทนรวมของบรรดาสมาชิกหมู่บ้านทั้งกลุ่ม พวกเขาไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย เพราะผลตอบแทนจากการซื้อขายระหว่างกันที่แต่ละคนได้รับจะหักล้างกันทั้งหมด (zero-sum game)

ในระยะยาวราคา (Prices or P) ของหุ้นหรือของตลาดหุ้นจะไม่สามารถนำไปไกลกว่ากำไร (Earnings or E) หรือเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน[1. Lynch and Rothchild, Beating the Street, 307.] ถ้าตอนนี้มันห่างอยู่ อีกไม่นานมันจะต้องวิ่งกลับมาหากัน[1. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 12.]

นอกจากนี้ นักลงทุนบางคนก็เริ่มสังเกตเห็นว่าในระยะยาวนั้นผลตอบแทนที่มันสวิงแตกต่างกันรายปีมีขาดทุนมีกำไรเป็นบวกเป็นลบนั้น ด้วยพลานุภาพของกฎแห่งการกลับสู่ค่าเฉลี่ย (reversion to the mean) มันจะกลับไปสู่ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 12% ต่อปีเหมือนกับตอนที่พวกเขาอยู่เฉย ๆ

“อารมณ์เป็นได้แค่เพียงสิ่งที่ครอบงำผลตอบแทนระยะสั้น หากแต่ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นมาจากเงินปันผลและการเติบโตของกำไรซึ่งเป็นผลตอบแทนที่แท้จริงของธุรกิจ”[1. ibid., 18.]

II. ตอนจบของเรื่องและผู้รอดชีวิต

ผมยังไม่ได้เล่าตอนจบสินะ ในความเป็นจริงพวกสมาชิกในหมู่บ้านผู้ซึ่งเป็นเหมือน ๆ นักลงทุนในปัจจุบัน ไม่ได้ทำการซื้อขายหุ้นกันฟรี ๆ เพราะทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขามีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น พวกเขาจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับเสียงกระซิบในตอนแรกซึ่งได้ผันตัวมาทำธุรกิจคนกลางไปแล้ว

สมาชิกในหมู่บ้านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์หรือค่าคอมมิชชั่น ค่าธรรมเนียมซื้อขาย ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ เพราะในตอนหลังสมาชิกในหมู่บ้านถูกทำให้เชื่อว่าแทนที่จะซื้อขายเอง จ้างผู้จัดการการเงิน (money or investment managers) มาคัดเลือกหุ้นดีกว่าไหม เพราะผู้จัดการเหล่านี้จะทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น หรือค่าใช้จ่ายสำหรับที่ปรึกษาการเงิน (financial services fees) และอีกมากมาย และสมาชิกหมู่บ้านพวกที่ชอบเก็งกำไรก็จะจ่ายเงินให้แก่ตัวกลางเหล่านี้สูงลิ่วจนมีผู้ที่กล่าวว่า การเก็งกำไรก็คือการพนันอย่างหนึ่งที่สนับสนุนนักบัญชีจำนวนมาก[1. Peter Lynch and John Rothchild, One Up on Wall Street: How to Use What You Already Know to Make Money in The Market, 2nd ed. (New York: Simon & Schuster, 2000), 20.]

ด้วยเหตุนี้ในความเป็นจริงนั้น จากผลตอบแทนที่ได้รับทั้งกลุ่มของสมาชิกในหมู่บ้านอันเป็นผลตอบแทนแบบบวกในกรณีที่ทุกคนถือครองหุ้นเฉย ๆ ก็กลายมาเป็นผลตอบแทนรวมที่ไม่ได้มีอะไรเพิ่มขึ้นมาสำหรับทั้งกลุ่ม เมื่อสมาชิกเริ่มซื้อขายหุ้นกันเอง และในท้ายที่สุด ผลตอบแทนที่สมาชิกทั้งกลุ่มได้รับก็ลดลงฮวบฮาบ เมื่อต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับตัวกลางทางการเงินทั้งหลาย อันเป็นผลมาจากการที่พวกเขาไม่ยอมอยู่เฉย ๆ และพยายามเคลื่อนไหวเพื่อหวังว่าจะทำผลตอบแทนให้สูงขึ้น

ในท้ายที่สุดก็กลับกลายเป็นว่า ยิ่งพวกเขาขยับตัวและเสียค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมุ่งไปสู่เกมแห่งผู้แพ้ (Loser’s game) และผลลัพธ์โดยรวมของกลุ่มติดลบ (negative-sum game) เมื่อมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง[1. Charles D. Ellis, Winning the Loser’s Game: Timeless Strategies for Successful Investing, 6th ed. (New York: McGraw-Hill, 2013), 9.]

ในขณะที่การถือหุ้นทั้งตลาดในระยะยาวเป็นเกมที่นำไปสู่ชัยชนะ (Winner’s game) การ[พยายาม]เอาชนะตลาดกลับกลายเป็นเกมแห่งความพ่ายแพ้ (Loser’s game)[1. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 28.]

ในท้ายที่สุดก็จะเหลือสมาชิกในหมู่บ้านหรือนักลงทุนไม่กี่คนที่ตระหนักได้ว่า ผลตอบแทนในระยะยาวจากการลงทุนหุ้นนั้นจะต้องมาจากวินัยและความอดทนในการซื้อสะสมหุ้นเป็นประจำและถือครองไปตลอดเวลาผ่านความผันผวนของตลาด เลิกที่จะทำตัวแบบคนส่วนใหญ่ที่เก็งกำไรรายวันหรือถือครองหุ้นสั้น ๆ เลิกที่จะจับจังหวะลงทุนหรือเชื่อมั่นว่าตัวเองจะซื้อถูกไปขายแพง (buy low, sell high strategy) ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก และเลิกที่จะเชื่อว่าผู้จัดการการเงินจะทำผลตอบแทนได้มากกว่าตลาดเมื่อคำนึงถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เข้าไปด้วย[1. Richard A. Ferri, All About Index Funds: The Easy Way to Get Started, 2nd ed. (New York: McGraw-Hill, 2007), 31; Ellis, Winning the Loser’s Game, 3.]

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้รอดชีวิตกลุ่มนี้ยังถือว่าได้มุ่งไปสู่เกมแห่งผู้ชนะในการลงทุน (Winner’s game) ด้วย ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนเหล่านี้จะทำก็คือ การซื้อสะสมเป็นประจำและถือครองกองทุนหุ้นทั้งตลาดหรือเกือบทั้งตลาด ซึ่งทำได้ง่าย ๆ ผ่านการซื้อกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ๆ อันเป็นวิธีการลงทุนที่ใช้เงินไม่มาก ประหยัดเวลาชีวิต ได้รับการกระจายความเสี่ยงที่ดี และจะได้รับผลตอบแทนในระยะยาวเท่าผลตอบแทนของตลาดหุ้น(หักด้วยค่าใช้จ่าย) และผลตอบแทนเช่นว่านั้นจะเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่พยายามจับจังหวะลงทุน หรือเลือกกองทุนบริการจัดการ (actively managed funds)[1. Lynch and Rothchild, Beating the Street, 33.] ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้จัดการลงทุนและกองทุนเหล่านี้ไม่อาจชนะตลาด แต่ตลาดนี่ล่ะที่ชนะพวกเขา[1. Ellis, Winning the Loser’s Game, 1.]

“ในการลงทุนนั้น การถือครองเป็นเจ้าของธุรกิจทั้งหมดแล้วเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากครอบครองผลตอบแทนของทุนคือกลยุทธ์แห่งชัยชนะ ไม่ใช่การมานั่งซื้อขายหุ้น”[1. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 192.]

5. ทำไมการเอาชนะ ผลตอบแทนหุ้น ทั้งตลาดถึงยาก

ถ้าอ้างทฤษฎีการเงินอย่างทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ Efficient Market Hypothesis (EMH) ข้อมูลในตลาดหุ้นย่อมจะสะท้อนทุกอย่างไม่ว่าจะข่าวสารในอดีต ปัจจุบัน อนาคตไว้ในราคาแล้ว การจะใช้กลยุทธ์ที่อาศัยข้อมูลย้อนหลัง เช่น การใช้ปัจจัยเชิงเทคนิค (Technical Analysis) หรือแม้จะใช้ข้อมูลทั่วไปมาวิเคราะห์หุ้นหรือกิจการ (Fundamental Analysis) วิธีเหล่านี้ย่อมไม่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดหุ้น (ผู้อ่านหลายท่านที่อาศัยวิธีเหล่านี้คงโต้แย้งในใจ) ซึ่งทฤษฎีอีกอย่างที่สนับสนุนเรื่องนี้ คือ ทฤษฎีเดินสุ่ม (Random Walk) ซึ่งเห็นว่าการขึ้นลงของตลาดหุ้นหรือราคาหุ้นเป็นการสุ่มและไม่สามารถทำนายได้

แน่นอนครับว่า ทฤษฎีข้างต้นและทฤษฎีเดินสุ่ม ก็ต้องยอมจำนนกับข้อเท็จจริงที่ว่า ตลาดหุ้นนั้นมีช่วงเวลาที่ไม่มีประสิทธิภาพและมีนักลงทุนหลายคน เช่น Warren Buffett ที่สามารถทำผลตอบแทนในระยะยาวได้สูงกว่าตลาดหุ้นอย่างมาก หากแต่แม้กระทั่งนักลงทุนที่เก่ง ๆ ก็ยังยอมรับว่าตลาดหุ้นนั้นส่วนใหญ่แล้วมักจะมีประสิทธิภาพระดับหนึ่ง (frequently efficient) แต่ไม่ได้มีประสิทธิภาพตลอดเวลา (not always) มีแค่บางช่วงเวลาที่นักลงทุนที่มีฝีมือและเชี่ยวชาญถึงจะลงไปหาผลตอบแทนส่วนเกินได้ และแม้ตลาดจะไม่ได้ถูกต้องตลอดเวลา แต่ความยากคือไม่มีใครคนไหนหรือหาได้ยากที่จะสามารถรู้ได้มากกว่าตลาดอย่างสม่ำเสมอ[1. Burton G. Malkiel, A Random Walk down Wall Street: The Time-tested Strategy for Successful Investing, 11th ed. (New York: W. W. Norton & Company, 2016), 105.] และแม้กระทั่ง Buffett ก็ยังคิดว่า มีคนน้อยมากจริง ๆ ที่ควรจะเป็นนักลงทุนเชิงรุก (active investors)[1. [1. Den Stein & Phil DeMuth, The Little Book of Bulletproof Investing: Do’s and Don’ts to Protect Your Financial Life (Hoboken: Wiley, 2010), 56.]]

อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนทั่วไปแล้วการหาผลตอบแทนส่วนเกินจากตลาดหุ้นและการที่จะทำผลตอบแทนระยะยาวได้สูงกว่าตลาดหุ้นอย่างสม่ำเสมอช่างเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เรามาลองไล่ดูกันทีละเรื่องดีกว่าครับ

I. การลงทุนหุ้นเองรายตัว

ต้องยอมรับว่ามีนักลงทุนจำนวนไม่มากที่สามารถทำผลตอบแทนในระยะยาวสูงกว่าตลาดหุ้นและมีน้อยลงไปอีกสำหรับนักลงทุนที่ชนะตลาดหุ้นอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว อีกอย่างที่เราควรจำเพื่อเวลาฟังคนพูดถึงผลตอบแทนสูง ๆ ที่เขาทำได้ก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่เคยวัดผลตอบแทนอย่างละเอียดจริงจัง ปกติคนมักจะใช้วิธีพูดถึงเงินที่ตนลงทุนมากกว่าว่าโตมาเป็นเท่าไหร่ หรือไม่ก็ใช้วิธีหยาบ ๆ ในการคำนวณผลตอบแทนคร่าว ๆ เช่นดูเงินต้นปีปลายปี (บางคนไม่หักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าคอม ด้วยซ้ำ) ทำให้มีนักลงทุนน้อยรายเท่านั้นที่จะเก็บสถิติและทำการเปรียบเทียบผลตอบแทนตลาดหุ้นอย่างจริงจัง

อนึ่ง ตลาดหุ้นยังเป็นสถานที่ซึ่งคนตายไม่ได้พูด คนขาดทุนซึ่งมีเยอะมากจะเงียบ คนได้กำไรซึ่งมีน้อยจะพูด เราจึงมักเห็นแค่คนไม่กี่คนที่มาพูดถึงกำไรที่ทำได้จากตลาดหุ้น และเมื่อการพูดนั้นไม่อาจแน่ได้ใจได้เลยว่าเขาชนะตลาดหุ้นและชนะอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ เราจึงควรสงสัยไว้ก่อนว่ามีไม่กี่คนหรอกที่ชนะตลาดหุ้นในระยะยาวจริง ๆ

การลงทุนในหุ้นรายตัวไม่เหมาะกับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเวลาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนหรือวิเคราะห์ธุรกิจ ซึ่งปกติเวลาในชีวิตของคนทั่วไปก็จะถูกกลืนกินด้วยงานประจำอยู่แล้ว การลงทุนหุ้นรายตัวโดยไม่มีความรู้ก็คือการฆ่าตัวตายง่าย ๆ สำหรับชีวิตลงทุน และการเลือกหุ้นรายตัวนั้นก็ยังมีปัญหาอื่นอีก ถ้านักลงทุนเลือกหุ้นถูกแต่ซื้อที่ราคาผิดและซื้อในช่วงเวลาที่ผิด นักลงทุนก็จะขาดทุนอย่างมาก รวมถึงในขณะเดียวกันนั้น การเลือกหุ้นผิดในเวลาที่ถูก นักลงทุนก็จะขาดทุนหนักไม่แพ้กัน[1. Lynch and Rothchild, One Up on Wall Street, 72.]

Peter Lynch เห็นว่า การลงทุนหุ้นโดยไม่รู้เรื่องดูจะเป็นงานอดิเรกของคนส่วนใหญ่ และที่แปลกคือถ้าเป็นเรื่องอื่น หากคนทั่วไปรู้ว่าทำได้ไม่ดี พวกเขามักจะเลิก แต่ในการลงทุนนั้นไม่ แม้พวกเขาจะรู้ว่าตนไม่มีความสามารถในการเลือกหุ้นแต่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาลงทุนต่อไป การเล่นหุ้นจึงเป็นงานอดิเรกที่มีพลังในการทำลายล้างสูง[1. Lynch and Rothchild, Beating the Street, 12.] และการเลือกหุ้นเองยังเป็นเรื่องที่ยาก นักลงทุนที่ไม่มีความรู้ควรหลีกเลี่ยง และไม่ใช่เพียงแค่ความรู้เรื่องการคำนวณหรือบัญชีที่จะช่วยให้นักลงทุนประสบความสำเร็จ เพราะไม่เช่นนั้นนักคณิตศาสตร์กับนักบัญชีก็น่าจะเป็นอาชีพที่รวยที่สุดในโลกไปแล้ว[1. ibid., 140.]

นอกจากนี้ อีกทั้งตลาดหุ้นในปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยจำนวนนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีจำนวนมากซึ่งครอบงำตลาดและสร้างผลกระทบในการที่ความคิด การวิเคราะห์หลักทรัพย์ กิจกรรมการวิจัย ของทั้งกลุ่มรวมกันได้สะท้อนออกมาเป็นราคาหลักทรัพย์ จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่นักลงทุนจะพยายามลงทุนเอาชนะตลาดหุ้นและหาผลตอบแทนสูง ๆ เมื่อตัวตลาดหุ้นเป็นดั่งตัวแทนของวงการการเงินทั้งกลุ่ม[1. Ellis, Winning the Loser’s Game, 26.]

II. การจับจังหวะลงทุน

การที่นักลงทุนพยายามจับจังหวะลงทุน (market timing) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ ทั้งการจับจังหวะตลาดเพื่อลงทุนกองทุนรวมหรือเพื่อลงทุนหุ้นรายตัว กลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ด้อย เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มักจะพลาดและจับจังหวะช้าไปหนึ่งก้าวเสมอเพราะการมองโลกในแง่ดีและแง่ร้ายเกี่ยวกับตลาดหุ้นจนเกินไป[1. Lynch and Rothchild, One Up on Wall Street, 48; Ellis, Winning the Loser’s Game, 23.]

หากคิดให้ละเอียด เราจะพบว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องยากในการจับจังหวะลงทุน เพราะนักลงทุนต้องถูก 4 ครั้ง เช่น จังหวะแรกคิดถูกว่าหุ้นจะตก จังหวะสองขายตอนก่อนหุ้นตกได้ถูกต้อง จังหวะสามคิดถูกว่าหุ้นกำลังจะขึ้น จังหวะสี่ซื้อหุ้นถูกต้องก่อนที่หุ้นจะขึ้น ซึ่งโดยปกตินักลงทุนทำไม่ได้หรอกครับ มันเป็นโชคดีซะมากกว่า ซึ่งงานวิจัยของ Woodward กับ Chua ของ University of Calgary ก็แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ใช้กลยุทธ์จับจังหวะซื้อขายจะต้องตัดสินใจถูกต้องถึง 70 ใน 100 ครั้งตลอดช่วงเวลาถึงจะเอาชนะนักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ง่าย ๆ อย่างซื้อแล้วกอดหุ้นเอาไว้[1. See page 186 in A Random Walk down Wall Street 10th edition; this parts has disappeared in 11th edition.]

มีนักลงทุนน้อยมาก ๆ ที่จะจับจังหวะได้ถูกต้องตลอดชีวิต ขนาดตำนานของวงการตลาดทุนอย่าง Bogle และ Malkiel ยังผสานเสียงกันเลยว่า พวกเขาที่อยู่ในธุรกิจนี้มานานยังไม่เคยรู้จักใครเลยที่จะประสบความสำเร็จกับการจับจังหวะซื้อขายในตลาดและยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะจับจังหวะได้ถูกต้องจนประสบความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอ[1. Malkiel, A Random Walk down Wall Street, 259.] 

การจับจังหวะลงทุนจึงมักเป็นกลยุทธ์ด้อยที่ทำลายผลตอบแทนของการนักลงทุน ในขณะที่การถือครองหุ้นตลอดเวลากลับให้ผลตอบแทนที่มากกว่า[1. Fisher and Hoffmans, The Ten Roads to Riches, 195.] อีกทั้งการพลาดไม่ถือหุ้นและครองหุ้นในทุกช่วงเวลาขึ้นลงของตลอดหุ้นนั้นอาจเป็นภัยร้ายแรงเพราะจะทำให้นักลงทุนพลาดช่วงขาขึ้นครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลตอบมหาศาลที่นักลงทุนจะได้รับ[1. Malkiel, A Random Walk down Wall Street, 158; Ellis, Winning the Loser’s Game, 25.]

การพยายามเดาตลาดหุ้นเป็นกลยุทธ์ที่สาบนักลงทุนไว้ล่วงหน้าให้ทำผลตอบแทนหายวับไปถึงครึ่งหนึ่งของผลตอบแทนระยะยาวตลาดหุ้น (ที่เฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี) เพราะนักลงทุนที่ชอบจับจังหวะลงทุนมักจะทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าตลาดหุ้นถึง 5% ต่อปี[1. Malkiel, A Random Walk down Wall Street, 242.]

ยกตัวอย่างกรณีนักลงทุนส่วนใหญ่จับจังหวะผิดพลาดในการลงทุนกองทุนรวม เช่น ในปี 1990 นักลงทุนใส่เงินนิดหน่อยเข้าลงทุนกองทุนหุ้นสุทธิ $18,000 ล้านในปี 1990 ซึ่งตอนนั้นตลาดหุ้นมีราคาถูกมาก หากแต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังเกินมูลค่า (overvalued) ปี 1999-2000 และกำลังจะตกหนักในปีถัดไป นักลงทุนกลับเทเงินเข้ามาลงทุนกองทุนหุ้นถึง $420,000 ล้าน[1. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 54.]

III. การพยายามเลือกกองทุนหุ้นผู้ชนะ

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ด้อยของนักลงทุนในกองทุนรวมที่พยายามเสียเวลาหาผู้ชนะไปอย่างเปล่าประโยชน์ วิธีที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบใช้คือการดูผลตอบแทนย้อนหลังหรือการจัดอันดับผลตอบแทนสูงสุดของกองทุนรวม ซึ่งผมได้เคยเขียนบทความอธิบายอย่างละเอียดลออแล้วว่า การดูผลตอบแทนย้อนหลังกองทุนรวมแล้วเลือกซื้อเป็นสิ่งที่เสียเวลาและเป็นความเชื่อผิด ๆ

นอกจากนี้ อย่างที่เคยเขียนบ่อย ๆ ผลตอบแทนระยะยาวของกองทุนหุ้นแบบบริหารจัดการโดยส่วนใหญ่จะต่ำกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้น เช่น ช่วงปี 1980-2005 ผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนี S&P500 อยู่ที่ 12.5% ต่อปี ส่วนผลตอบแทนของกองทุนหุ้นทั้งกลุ่มโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปี[1. ibid., 44.] และผลตอบแทนที่รายงานของกองทุนรวมนั้นไม่ใช่ผลตอบแทนที่แท้จริงที่นักลงทุนได้รับ เพราะนักลงทุนในกองทุนรวมช่วงเวลาดังกล่าวได้ผลตอบแทนเพียงแค่ 7.3% ต่อปี![1. ibid., 51.] โดยสาเหตุก็คล้ายกับข้อ II. นั่นล่ะครับ ที่นักลงทุนทำผลตอบแทนได้น้อยกว่าที่กองทุนทำได้ก็เพราะผลลัพธ์จากการที่นักลงทุนจับจังหวะลงทุนผิดพลาด (counterproductive market timing) และการพยายามนั่งคัดเลือกกองทุนหุ้น (adverse fund selection)[1. ibid, 53.]

งานวิจัยทางวิชาการของไทยก็ให้ผลไปในทางเดียวกันว่า กลยุทธ์ที่ซื้อกองทุน LTF หรือ RMF จากผลตอบแทนที่ดีในอดีตไม่อาจชี้วัดได้ว่ากองทุนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนดีในอนาคต และยังพบอีกว่า กองทุนรวมเหล่านี้ทำผลตอบแทนสุทธิ (net returns) ได้ต่ำกว่าผลตอบแทนรวมเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์โดยห่างและทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นประมาณ 2-3% ต่อปี[1. ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์, “ผลตอบแทนและความต่อเนื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่มีนโยบายเชิงรุก,” วารสารบริหารธุรกิจ นิด้า 22 (พฤษภาคม 2561): 61.]

โดยผลตอบแทนของกองทุน LTF แบบ actively managed funds ในช่วงปี 2005-2016 อยู่ที่ 12.65% ต่อปี แต่ SET TR อยู่ที่ 15.73% (ห่างกัน 3.08% ต่อปี)[1. ibid., 70.] เงิน 10,000 ในตลาดหุ้นเป็น 57,723.34 แต่เงินในกองทุนบริหารโดยเฉลี่ยเป็นแค่ 41,761.33 ซึ่งห่างกันประมาณ 15,926 บาท! หรือคิดเป็นจำนวนเงินที่หายไปเกือบ 28%!!

เมื่อข้ามมาดูกองทุน RMF แบบ active funds ช่วงปี 2002-2016 รวม 15 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุน RMF คือ 19.54% ส่วน SET TR ให้ผลตอบแทน 21.63% ต่อปี (ห่างกัน 2.09%) หากแต่เงิน 10,000 ในช่วงเวลาดังกล่าวจะกลายเป็น 145,556 หากลงทุนในกองทุนหุ้นไทย RMF แต่จะกลายเป็น 188,630 บาท ห่างกันประมาณ 43,000 บาท! หรือหายไปเกือบ 23%!!

คนที่ยังเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นไทยนั้นไม่มีความเป็นสากล เป็นตลาดที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ ควรจะต้องทบทวนความคิดใหม่ว่าจริง ๆ มันมีประสิทธิภาพมาตั้งนานแล้วหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุด เป็นสิ่งที่ถูกเก็บจริง ๆ และลดผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับในระยะยาวจริง ๆ ก็คือ ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม!

6. บทสรุปเพื่อการได้รับ ผลตอบแทนหุ้น ที่ดี

การที่ตลาดหุ้นระยะยาวให้ผลตอบแทนสูง นักลงทุนที่ต้องการจะได้ผลตอบแทนที่ดีจากหุ้นเช่นว่านั้น จะต้องทำการลงทุนโดยถือครองหุ้นทั้งตลาด ซึ่งวิธีที่เรียบง่ายและให้ผลดีก็คือการซื้อกองทุนดัชนีที่ซื้อหุ้นทั้งตลาดหรือเลียนแบบดัชนีตลาดหุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี (a broadly diversified index fund)[1. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 32.] ซึ่งควรจะเป็นกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ และนักลงทุนที่หวังว่าจะให้เงินออมในอนาคตเติบโตสูงย่อมจะต้องมีหุ้นเป็นส่วนประกอบเสมอ[1. Lynch and Rothchild, Beating the Street, 15.]

เนื่องจากตลาดหุ้นเป็นสถานที่รวมความคิดเห็นทุกอย่างของผู้จัดการลงทุน นักการเงินและนักลงทุนเก่ง ๆ จำนวนมากเอาไว้ สะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวและราคาที่ปรากฏในตลาดหุ้น การถือครองหุ้นทั้งตลาดจึงเป็นการใช้ประโยชน์จากความฉลาดและความเชี่ยวชาญของวงการลงทุนไว้ในมือ การถือครองหุ้นทั้งตลาดเป็นดั่งเสมือนการมีนักวิเคราะห์ช่วยวิจัยเรื่องของปัจจัยพื้นฐานและราคาหุ้นให้คุณ และมีผู้จัดการกองทุนรวมกันอีกหลายพันมาทำการคิดวิเคราะห์เลือกหุ้น ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเหล่านี้พยายามคิดวิเคราะห์ทุกอย่างออกมาและกิจกรรมในการลงทุนของพวกเขาก็สะท้อนออกมาเป็นราคาตลาดหุ้นหรือดัชนีหุ้น[1. Ellis, Winning the Loser’s Game, 42.]

ด้วยเหตุนี้  เมื่อตลาดหุ้นโดยรวมเป็นดั่งสถานที่สะท้อนความคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ หรือผลลัพธ์ของความชาญฉลาดที่ถูกอุทิศให้ตลาดเงินตลาดทุนรวมกันของผู้เชี่ยวชาญการเงินนับพันนับหมื่น สิ่งที่เราควรจะทำคือไม่ต้องตั้งคำถาม[กับตลาดหุ้น]แต่อ้าแขนรับความคิดรวมทั้งกลุ่มเหล่านี้เอาไว้ กองทุนดัชนีที่ลงทุนเลียนแบบหุ้นทั้งตลาด แม้กองทุนจะไม่มีผู้จัดการกองทุนมาคัดเลือกหุ้นให้ (ซึ่งดีเพราะเสียค่าใช้จ่ายอย่างไม่จำเป็น) หากแต่กองทุนดัชนีก็เปรียบเสมือนได้มีนักวิเคราะห์ ผู้จัดการลงทุน นักการเงิน ผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุนรายย่อยเก่ง ๆ ทั้งอุตสาหกรรมการเงินมาทำงานให้[สะท้อนผ่านทางตลาด]เลยทีเดียว (แบบฟรี ๆ)

อีกปัจจัยที่สำคัญคือเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” (costs) เนื่องจากค่าใช้จ่ายจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อผลตอบแทนที่นักลงทุนทำได้ ยิ่งนักลงทุนเสียค่าใช้จ่ายต่ำ ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายของกองทุนรวม และมีการเคลื่อนไหวหมุนเวียนซื้อขายน้อยครั้ง โอกาสที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนระยะยาวสูงก็มีมากขึ้น นักลงทุนต้องคิดไว้ก่อนว่าหากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนให้เท่าตลาดหุ้นด้วยการลงทุนกองทุนดัชนี นักลงทุนจะต้องทำค่าใช้จ่ายให้ต่ำที่สุด (ค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนกองทุนรวมมากที่สุด) และแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายที่ถูกเก็บไปจากนักลงทุนในโลกแห่งความเป็นจริง ย่อมทำให้ผู้จัดการลงทุนทั้งหลายรวมถึงกองทุนแบบบริหารไม่อาจสร้างความแตกต่างและชนะผลตอบแทนของตลาดหุ้น[1. Ferri, All About Index Funds, 31; Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 40-41.]

หากแต่ภัยร้ายในการลงทุนระยะยาวนอกจากค่าใช้จ่ายแล้วยังมีตัวสำคัญอีกนั่นคือ “อารมณ์” (emotions)[1. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 194.] เพราะตัวชี้วัดว่านักลงทุนจะสามารถลงทุนยาวนานจนได้รับผลตอบแทนของตลาดหุ้นหรือไม่ จำเป็นที่จะต้องอาศัยวินัยและความอดทน รวมถึงความสามารถในการเพิกเฉยเสียงรบกวนต่าง ๆ จากตลาดหุ้น[1. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 20; Lynch and Rothchild, Beating the Street, 19.] การพยากรณ์และทำนายเศรษฐกิจ ฯลฯ ที่เข้าหูนักลงทุนทุกวัน ซึ่งอันที่จริงนั้น Lynch, Fisher และ Bogle ผสานเสียงร่วมกันว่า ไม่มีใครหรอกที่สามารถทำนายตลาดหุ้นและเศรษฐกิจได้[1. Lynch and Rothchild, Beating the Street, 307; Fisher and Hoffmans, The Ten Roads to Riches, 194; Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 18.] และเลิกจับจังหวะคาดเดาตลาดหุ้นซะ มันเป็นความคิดเลวร้ายที่จะพยายามทำมัน[1. Ellis, Winning the Loser’s Game, 25]

นักลงทุนจึงควรจะลงทุนด้วยแนวทางและวิธีที่ขจัดอารมณ์ทิ้ง เช่น การลงทุนแบบประจำตามเวลาหรือที่เรียกว่า dollar-cost averaging (DCA) เพื่อขจัดปัญหาด้านอารมณ์เข้ามาพัวพันการลงทุน เช่น การนั่งคาดเดาว่าตลาดหุ้นจะขึ้นจะลง หรือการถูกแรงกระตุ้นให้ซื้อขายบ่อย ๆ[1. Lynch and Rothchild, Beating the Street, 18.] แล้วเอาเวลาไปเพิ่มรายได้และนำเงินมาลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นน่าจะดีกว่า[1. Fisher and Hoffmans, The Ten Roads to Riches, 200-201.]

นอกจากนี้ วิธีลงทุนแบบประจำยังเป็นวิธีที่นักลงทุนและนักการเงินส่วนใหญ่แนะนำ เพราะจะทำให้ในระยะยาวนักลงทุนได้ลงทุนสะสมหุ้นหรือกองทุนหุ้นไปเรื่อย ๆ ได้อย่างเรียบง่ายและประหยัดเวลาเพื่อนำไปใช้ในการลงมือทำเรื่องอื่นที่สำคัญต่อชีวิต โดยไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวติดตามหรือพะวงกับสภาะตลาดหุ้นรายวันรายเดือนรายปีที่มีแต่เสียงรบกวนระยะสั้น ๆ ซึ่งไม่สลักสำคัญอะไรต่อภาพรวมตลาดหุ้นและผลตอบแทนธุรกิจในระยะยาวเลยครับ

The winning formula for success in investing is owning the entire stock market through an index fund, and then doing nothing, Just stay the course.[1. Bogle, The LiIttle Book of Common Sense Investing, 58.]

Where are the customers’ yachts?

ชายคนหนึ่งเข้ามาหาเพื่อนที่ทำงานในวงการวอลสตรีท ซึ่งเพื่อนเขาได้พาชมเมืองแถวริมทะเลและชี้ให้ดูอะไรบางอย่างเยอะแยะไปหมด

“โน่น ที่นายเห็นหน่ะ คือ เรือยอชต์พวกนี้เป็นของโบรกเกอร์กับพวกนายธนาคารนะ”

ชายคนนั้นตกใจและตะลึงมาก ด้วยความเป็นคนซื่อเลยถามกลับด้วยความสงสัยว่า

“แล้วเรือยอชต์ของพวกลูกค้าอยู่ไหนล่ะ?”

Where are the customers’ yachts?

นี่คือชื่อหนังสือการเงินที่ผมพึ่งอ่านจบ (มีแปลไทยครับ) เป็นหนังสือที่ Warren Buffett จะแนะนำใหัคนอ่านบ่อย ๆ ลักษณะการเขียนแนวอารมณ์ขันเสียดสีวงการการเงิน ในประเด็นหลัก ๆ ว่า เงินของลูกค้าไหลเข้ากระเป๋าของนักการเงินทั้งนายหน้าค้าหุ้น นายธนาคาร ที่ปรึกษาทางการเงิน นักวิเคราะห์ ผู้จัดการการลงทุนไปซะหมด ดังที่เขาเสียดสีให้เห็นภาพว่า เงินเหล่านั้นกลายเป็นเรือยอชต์ไปหมดแล้ว

ผู้เขียน (Fred Schwed Jr.) เลือกประเด็นต่าง ๆ มาเขียนอย่างน่าสนใจ แถมมีมุกตลกสอดแทรกที่หลายครั้งขำมากเพราะมันเป็นตลกร้าย เช่น

(1) ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ทำนายตลาดแทบจะไม่ถูก แต่เขาก็จะทำนายจะวิเคราะห์ต่อไป ด้วยหน้าที่การงานต่าง ๆ ความคิดที่ว่าตลาดการเงินเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ กลับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ในความคิดของคนวงการการเงินส่วนใหญ่ เพราะถ้ายอมรับก็เท่ากับว่าแนวทางการทำรายได้ก้อนใหญ่หายไปหนึ่งแหล่ง ลามไปถึงความคิดของนักลงทุนรายย่อยที่ก็เชื่อไปกับเขาด้วยว่า ตนนั้นมีสามารถจับจังหวะและทำนายตลาดได้

(2) การพยากรณ์มักจะมาพร้อมกับการซื้อขายหุ้น เมื่อลูกค้าสนใจว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ลูกค้าจะได้คำตอบมากมายยืดยาว ทั้ง ๆ ที่พวกเขาควรจะตอบสั้น ๆ แค่ 3 พยางค์ว่า “ผมไม่รู้” !! และในความเป็นจริงนั้นสำหรับชาว Wall Street แล้ว

มันแทบจะมีโอกาสน้อยมากที่คุณจะได้รับคำตอบที่ออกจากปากที่ยากที่สุดของวงการการเงิน ซึ่งคำตอบที่ว่านั้นก็คือ “ผมไม่ทราบ[1. Fred Schwed Jr., ไหนล่ะเรือยอชต์ลูกค้า หรือจ้องตาวอลล์สตรีท, แปลโดยวิรัตน์ รัตนเวชสิทธิ (กรุงเทพมหานคร: ลีฟ ริช ฟอร์เอฟเวอร์, 2561), 51.] 

การยกตัวอย่างนี้ของ Schwed ทำให้ผมนึกถึงเวลาหุ้นขึ้นหุ้นลงแล้วจะต้องมีคนถามเสมอว่า ทำไมหุ้น XYZ ราคาเปลี่ยนแปลงอ่ะ / มีข่าวอะไรหรอทำไมวันนี้หุ้นขึ้น / ทำไมหุ้นลง – 0.5% ล่ะ — ดูเหมือนว่าวงการการเงินและสื่อทางด้านการเงินจะมีคำตอบให้เราเสมอว่าทำไมหุ้นมันขึ้นมันลง ซึ่งสามารถยกมาได้ตั้งแต่นโยบายการเงินของประเทศโน่นนี้ จนไปถึงการยกประเด็นที่เป็นกระแสหลักดูน่าเชื่อถือว่าประชาชนตกใจหดหู่กับสิ่งใด

(3) พฤติกรรมของนักลงทุนเองที่ทำให้นักลงทุนขาดทุนและจนลง เช่น การซื้อขายหุ้นตามอารมณ์ การกู้ยืมมาลงทุน การซื้อหุ้นแพงตามกระแส ฯลฯ และ Schwed ยังมักสอดแทรกข้อคิดทางการเงินที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น เขาบอกว่า “ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการลงทุน คือ ความพยายามให้ได้ผลตอบแทนที่สูงเกินไป ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงสูงจนน่าเศร้า”[1. เรื่องเดียวกัน, หน้า 175.]

โดยส่วนตัวคิดว่าหนังสือเล่มนี้สมคุณค่าที่ถูกยกย่องโดยนักลงทุนเอกหลาย ๆ คนครับ มันไม่ใช่หนังสือสอนว่าจะทำเงินยังไง แต่กำลังจะยกตัวอย่างให้เราฉุกคิด ไตร่ตรอง และระมัดระวังเวลาลงทุน โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงไม่เสียเงินโดยไม่จำเป็นในการลงทุนที่อุตสาหกรรมการเงินพยายามล้วงไปจากกระเป๋าเรา

ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องเรือยอชต์นี่ก็คล้าย ๆ กับคำเปรียบเปรยในแนวเดียวกันของ Buffett ที่ว่า[1. “Wall Street is the only place that people ride to in a Rolls-Royce to get advice from those who take the subway.” See Mary Buffett and David Clark, The Tao of Warren Buffett: Warren Buffett’s words of wisdom explained (London: Pocket Books, 2008), 9]

“วอลล์สตรีทเป็นที่ที่แปลก ที่นักธุรกิจผู้ขับรถหรูมาขอคำแนะนำว่าจะทำเงินยังไงจากคนที่เดินทางมาทำงานโดยรถไฟฟ้า”

แชร์ลูกโซ่ ในคราบหุ้น ทองคำ VC และอีกสารพัด

“วิธีป้องกันการถูกหลอกจาก แชร์ลูกโซ่”

ช่วงนี้รู้สึกว่าจะพบหรือได้ยินบ่อยจากทั้งคนใกล้และคนไกลตัว กรณีมีคนมาชักชวนไปลงทุนนู่นนี่นั่นที่จะให้ผลตอบแทนดีมาก ซึ่งมันมากในระดับที่คุณควรจะสงสัยว่า ดีขนาดนี้มาชวนทำไม? ถ้ามันดีจริงก็เก็บไว้ลงทุนคนเดียวไม่ดีกว่าหรอ? เวลาใครมาชักชวนไปทำหรือลงทุนอะไรโดยที่ผลตอบแทนมันสูงเว่อร์วังอลังการ โดยปกติพวกนี้มักจะหวยออกว่า จริง ๆ แล้วมันเป็นการหลอกไปลงนรก หลอกให้เราไปลงเงินกับ “แชร์ลูกโซ่” นั่นเอง

1. แชร์ลูกโซ่ คืออะไร?

“แชร์ลูกโซ่” (Ponzi scheme or pyramid scheme) สรุปคร่าว ๆ ง่าย ๆ ให้ลองนึกภาพ นาย A หลอกเอาเงินจากนาย B, C, D มา 3 คน สัญญาว่าจะเอาไปทำอะไรสักอย่างแล้วคืนเป็นผลตอบแทนให้ ต่อมานาย A ก็ไปหลอก E, F, G เอาเงินมาเพื่อไปจ่ายผลตอบแทนที่สัญญาไว้กับ A, B, C แล้วก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงนาย X, Y, Z และปกตินาย A มักจะหลอกว่าถ้า A, B, C ไปหาใครให้เอาเงินมาเพิ่ม เขาจะได้ผลตอบแทนเพิ่มไปอีก

ด้วยเหตุนี้ แชร์ลูกโซ่ จึงเป็นมหกรรมการลากคนไปลงนรกที่จะขยายไปเรื่อย ๆ แต่ด้วยกฎแห่งคณิตศาสตร์ วันหนึ่งในอีกไม่นานมันก็จะต้องถล่มแน่นอน ในไทยเราที่ดัง ๆ สมัยก่อนก็แชร์ลูกโซ่แม่ชม้อยนั่นล่ะครับ

สมัยก่อน แชร์ลูกโซ่ มักจะใช้รูปแบบการกู้ยืมเงินจากเหยื่อ บอกเอาไปปล่อยกู้อะไรก็ว่าไป สมัยนี้มันก็จะมาในรูปของการลงทุนในต่างประเทศ น้ำมัน ทองคำ Hedge Fund หรือ Venture Capital (VC) หรือ Private Fund (PF) คือ การหลอกลวงสมัยนี้จะอาศัยเทรนด์ลงทุนสมัยใหม่บังหน้า แต่อย่างไรก็ดี ยังไงมันก็คือเหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่ที่ยังเหมือนเดิมในทุกยุคสมัย คือ ความโลภคน พวกนี้มันก็เลยยังหลอกคนกันได้อยู่

2. รูปแบบการหลอกลวงของ แชร์ลูกโซ่

เรามาดูวิธีสังเกตรูปแบบการหลอกลวงเพื่อจะได้ปฏิเสธแชร์ลูกโซ่พวกนี้ได้กันครับ

2.1 อ้างว่าจะนำไปลงทุนอะไรที่ดูยาก ๆ 

ไม่ว่าเขาพูดว่าเอาไปลงทุนอะไรที่มันแปลกใหม่ เลยได้ผลตอบแทนดีกว่าปกติก็ตาม ตามกฎการลงทุน ถ้าเราไม่รู้ ให้พูดว่า ไม่! เสียก่อน ถ้าเขาบอกว่าไปลงทุนใน VC หรือ PF ให้คุณนึกไว้ก่อนว่า โดยปกตินักลงทุนรายย่อยจะไปลงทุนในพวก VC หรือ PF ที่เขาลงทุนกันเป็นอาชีพไม่ได้หรอก พวกนี้มันมีไว้สำหรับมืออาชีพจริง ๆ

พวกธุรกิจตั้งใหม่ (startup company) ได้เงินลงทุนก้อนใหญ่เป็นหลักร้อยล้านพันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนมืออาชีพ เช่น จาก Softbank หรือ Sequoia Capital นักลงทุนและแหล่งทุนการเงินระดับโลก แล้วทำไมเขาจะต้องมาเอาเงิน 10,000 หรือ 100,000 บาทจากพวกคุณด้วย เพราะฉะนั้น บอกปัดไปให้หมดครับ อย่าไปเสียดายว่าฉันกำลังจะตกรถ กำลังจะรวย โปรดจำไว้ว่า เสียดายยังดีกว่าเสียเงิน

พวกเครื่องมือการลงทุนอย่าง VC หรือ PF นั่น แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระดับโลกยังเตือนนักลงทุนทั่วไปเลยว่า พวกกองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Fund) กองทุนรวมลงทุนอย่าง Private Equity Fund หรือกองทุนร่วมลงทุนบริษัทตั้งใหม่อย่าง Venture Capital ไม่เหมาะเลยกับนักลงทุนรายย่อย และพวกนักลงทุนทั่วไปจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการลงทุนพวกนี้[1. Burton G. Malkiel, A Random Walk down Wall Street: The Time-tested Strategy for Successful Investing, 11th ed. (New York: W. W. Norton & Company, 2016), 325.] (ซึ่งเป็นการลงทุนใน VC และ PF จริง ๆ ที่ไม่ใช่การหลอกลวงแชร์ลูกโซ่นะครับ) นักลงทุนที่ชาญฉลาดควรจะเพิกเฉยและอย่าไปสนใจกับการลงทุนที่แปลกประหลาดพวกนี้น่าจะดีซะกว่า[1. Burton G. Malkiel and Charles D. Ellis, The Elements of Investing: Easy Lessons for Every Investor, updated ed. (Hoboken: Wiley, 2013), 103-105.]

2.2 อ้างผลตอบแทนสูงจนขนลุก

นอกจากเรื่องการอ้างศัพท์แปลก ๆ ขั้นต่อมาให้ดูเรื่องผลตอบแทนที่เขาจะให้เรา ถ้าผลตอบแทนมันเกิน 10% ทบต้นต่อปีในระยะยาวนี่ก็แทบจะเป็นเรื่องที่งมเข็มในการลงทุนจริง ๆ เพราะตลาดหุ้นระยะยาวเป็น 100 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปีเท่านั้นเองครับ นี่คือ “ต่อปี” นะครับ พวกที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อเดือน! หรืออะไรที่มันเว่อร์ ๆ ขนาดนั้น เราจะต้องวิ่งหนีครับ! เช่น ลงทุน 100,000 ให้ผลตอบแทน 10,000 บาทต่อเดือน ลงทุน 10,000 ให้ผลตอบแทน 3,000 ต่อเดือน คือ ถ้ามันอลังการขนาดแบบนี้ควรปฏิเสธไปเลย

อย่างดอกเบี้ยกู้ยืมเงินที่ถูกกฎหมายสำหรับคนทั่วไป คือ 15% ต่อปีเท่านั้น[1. มาตรา 654 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี.”] คนเหล่านี้ที่สัญญากับเราจะให้ผลตอบแทนเว่อร์ ๆ จะไปหาผลตอบแทนจากไหนมาเสกให้เรากัน กลับไปอ่านข้างบน เขาก็เอาเงินจากเหยื่อคนอื่น คนที่หลงเชื่อมาให้เรายังไงล่ะครับ

ลองดูตัวอย่างการหลอก

(Q) “สอบถามครับ ใครมีข้อมูลก็แชร์กันเรื่อง ลงทุนเทรดหุ้นสหรัฐ เปิดพอร์ทที่สิงคโปร์ ขั้นต่ำ 400,000 บาทได้ผลตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท ประมาณ 6 เดือนก็คืนทุน อะไรประมาณนี้ พอดีพี่สาวเป็นพยาบาล ตำรวจ มีน้อง ๆ ที่รู้จักลงทุนนี้อยู่ เลยมาชวนพี่สาว ผมลองหาข้อมูลในเน็ตแล้ว แต่ยังไม่เจออะไรครับ ถ้าใครมีข้อมูลก็แนะนำ แชร์ได้ครับ…”

(A) คำถามข้างบนเป็นตัวอย่างอันดีนะครับ ที่พูดมานั้น 4 แสนบาท 6 เดือนคืนทุน นี่ก็เข้าตามเกณฑ์ต้องระวังข้างบนแล้ว นอกจากนี้เรื่องเปิดพอร์ตหุ้นเพื่อลงทุนหุ้นต่างประเทศ มันมีบริษัทหลักทรัพย์ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. ซึ่งก็คือ พวกโบรกเกอร์ที่คนทั่วไปเปิดบัญชีหุ้นปกติสามารถเปิดบัญชี offshore ในไทยไปลงทุนหุ้นในต่างประเทศได้ถูกกฎหมายอยู่แล้วครับ

น่าแปลกใจว่า ทำไมพอยกเรื่องอะไรต่างประเทศหรืออะไรที่มันดูยาก ๆ คนถึงไม่ทบทวนความคิด ผมถึงได้อธิบายว่า รูปแบบข้างในมันเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนโฆษณาใหม่ไปเรื่อย ๆ ก็เท่านั้นเอง มันเล่นกับความโลภคนครับ (และดูจะเล่นกับคนโลภได้ทุกยุคทุกสมัยเสียด้วย)

3. ต้มกบ : คืนเงินนิดหน่อยให้ตายใจ

พวกแชร์ลูกโซ่นั้นถ้าใครหลงเข้าไปลงทุน มันจะจ่ายผลตอบแทนให้ก่อนเพื่อยืนยันว่านี่ไง ฉันมีจ่ายนะ คนกลุ่มหนึ่งที่จะตกหลุมพราง คือ คนที่ลงทุนตอนแรกน้อย ๆ เพราะกลัวและสองจิตสองใจ แต่พอได้เงินคืน (น้อย ๆ) ตามคำรับรองก็จะเริ่มอยากลงทุนเยอะขึ้น

ยกตัวอย่างที่มักจะได้ยินบ่อย หากคุณลงทุนกับเราวันนี้จะได้ผลตอบแทนเดือนละ 10% จากเงินต้น เมื่อคุณลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท เดือนถัดมาเขาก็จะให้คุณมาล่ะ 1,000 (ร้อยละสิบของหนึ่งหมื่น) เดือนต่อมาก็ยังได้อีก เอาล่ะ คุณเริ่มตาลุกวาว รอบนี้ซัดเลย 100,000 บาท เดือนต่อมาเขาจ่ายให้ 10,000 บาท แต่แล้วเดือนถัดไป มันก็เริ่มเบี้ยวไม่จ่ายล่ะ

บทสรุปเลยกลายเป็นว่าผู้ที่ถูกหลอกนี้ได้ลงเงินไปทั้งสิ้น 10,000+100,000 = 110,000 และได้รับเงินคืนมาในลักษณะกำไรให้ติดเบ็ด 12,000 บาท ซึ่งภาพสุดท้ายก็คือเสียเงินไปทั้งสิ้น 98,000 บาท สิ้นเนื้อประดาตัว ใครที่คิดจะลองขอให้จำตัวอย่างนี้ให้ดี ๆ

นอกจากนี้ พวกแชร์ลูกโซ่นี้มักจะมีโปรเงื่อนไขให้เติมเงินเข้าไปลงทุนเรื่อย ๆ แล้วจะจ่ายผลตอบแทนสูงขึ้น หรือให้ไปหาคนอื่นมาร่วมลงทุน ซึ่งเตรียมใจได้เลยว่า คราวนี้สิ่งที่จะต้องเตรียมรับ คือ เวลาคุณอยากถอนเงิน คุณจะไม่ได้ถอนครับ เขาจะมีข้ออ้างไปหมด ร้ายแรงสุด คือ ให้หาคนมาลงทุนเพิ่มจะได้ถอนเงินได้

ดังนั้น แชร์ลูกโซ่มันทำร้ายความเชื่อมั่นในสังคมหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งลากเพื่อน ลากญาติพี่น้องตัวเองลงไปประสบเคราะห์กรรมด้วย ทำให้บางคนมีความรู้สึกว่า ฉันรอด ฉันไม่เป็นไร ฉันได้เงินคืนก็พอ ใครจะเจ๊งจะสูญเสียและประสบปัญหาชีวิตก็ช่างมัน มันจึงทำให้ญาติหรือคนที่เรารู้จัก เพื่อนที่รักของเรา เป็นอสูรร้ายทางการเงิน อุปมาว่า ถ้าเธอทำลายชีวิตคนรู้จักเธอได้ (ด้วยการหลอกมาลงแชร์ลูกโซ่ด้วย) เธอก็จะรอด

แล้วมันรอดจริงหรือ? ไม่รอดหรอกครับ แถมพาคนที่ตัวเองรักตายตกตามกันไปด้วย

ผมนึกถึงคนจำนวนมากที่แสดงความคิดเห็นด่าทอใส่คนที่ไปแจ้งความว่า กำลังทำเรื่องให้ยุ่งยาก สาเหตุก็เพราะพวกเขากลัวจะไม่ได้เงินคืน พวกเขาก็แค่อยากให้ตัวเองได้เงินคืนก่อนก็พอ ฉันรอด สังคมจะพัง คนอื่นจะเจ๊ง ปล่อยแม่ง! นี่ก็เป็นความน่ากลัวอย่างหนึ่งของพวกแชร์ลูกโซ่ที่เปลี่ยนใจคนให้เป็นยักษ์เป็นมารกันไปหมดแล้ว

แถมจริง ๆ แล้ว ผมคิดว่า คนกลุ่มหนึ่งก็น่าจะเอ๊ะใจตั้งแต่ถูกชวนไปลงทุนแล้วล่ะ เพียงแต่ความโลภมันบังตาครับ บางคนก็คิดว่า ไม่เป็นไร ฉันแค่ขายหรือออกมาทันก็พอ ไม่ใช่คนที่ลุกช้าก็โอเค แต่ปกติคนเหล่านี้ไม่ทันหรอกครับ ส่วนใหญ่ได้ล้างจานปิดงานกันหมด

4. ทวนซ้ำวิธีระวัง แชร์ลูกโซ่

ด้วยเหตุนี้ อย่าให้ความโลภของเราทำให้เราต้องพลาดเลยครับ อะไรที่มันไม่แน่ใจ อะไรที่มันดูดีเกินไป ให้ผลตอบแทนดีเกินไปในตลาดเงินตลาดทุนนั้น มันมีน้อยมาก ทั้งยังมีจำนวนน้อยรายที่คนบางคนจะทำผลตอบแทนได้สูง ๆ จากการลงทุน หรือมีน้อยสินทรัพย์ลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนสูง ๆ เกิน 10% ต่อปี คุณจำเลขผลตอบแทนพวกนี้ไปคร่าว ๆ ก็ได้ครับ เงินฝากประจำเฉลี่ยให้ผลตอบแทนต่อปี 2-3% พันธบัตร หุ้นกู้ทั่วไป 4-5% ต่อปี อสังหาริมทรัพย์ โดยเฉลี่ย 6-7% ต่อปี หุ้นไม่เกิน 10% ต่อปี และส่วนใหญ่ผลตอบแทนที่ได้มันคือ ผลตอบแทนจากการ ลงทุนระยะยาว

ถ้าจะเอาผลตอบแทนระยะสั้นสูง ๆ หรือต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่สูงกว่านี้ มันต้องอาศัยฝีมือ ความเสี่ยง และอะไรอีกมากมาย มันไม่มีทางจะได้มาง่าย ๆ แบบที่ใครคนหนึ่งที่เดินมาบอกคุณว่า เอาเงินมาลงทุนกับผมสิ เดี๋ยวผมให้เท่านั้นเท่านี้ต่อเดือน

การพูดว่า ไม่ !!! ในเรื่องลงทุน รวมไปถึงการ อยู่เฉย ๆ ไม่โลภไปลงทุนอะไรที่เราไม่รู้จัก ถือว่าเป็นยันต์กันผีที่ทำให้ชีวิตเราปลอดภัยทางการเงินอย่างสบาย ๆ ครับ

ทองคำ และ กองทุนทองคำ เบื้องต้น – Gold 101

ทองคำ” เป็นโลหะชนิดหนึ่งที่อาจใช้ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ แต่มันได้ทำหน้าที่ (หรือจริง ๆ แล้วมีคนใส่หน้าที่ให้มันเพิ่มขึ้นต่างหาก) เช่น เป็นเงินทุนสำรองหนุนหลังการพิมพ์เงินและธนบัตร เป็นสินทรัพย์ที่มีราคาและเก็บเป็นสมบัติหรือมรดกตกทอดได้ ใช้บ่งบอกฐานะความร่ำรวยได้ และยังผูกพันกับชีวิตคนในหลายด้าน

สำหรับกรณีคนไทยก็เช่น สามารถเอา ทองคำ ไปหมั้นผู้หญิงได้ เอาไปหล่อพระพุทธรูปเพื่อเคารพสักการะก็ได้ แม้กระทั่งสำนวนสุภาษิตไทยก็เกี่ยวข้องกับทองตั้งหลายอัน ไม่ว่าจะเป็น เสียทองท่วมหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร เอาทองไปลู่กระเบื้อง กิ้งก่าได้ทอง ฯลฯ และถ้าถามถึงสุภาษิตเกี่ยวกับการให้ค่าทองคำของคนไทย ก็ต้องนึกถึงคำพูดติดปากที่ว่า “มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่” ในสายตาคนไทยสมัยก่อน คนที่รวยจริง ๆ ต้องถือ ทองคำ

1. ทองคำ กับการหนุนหลังระบบเงินตรา

ทองคำ ในบริบทที่น่าสนใจ คือการที่มันถูกนำมาเป็นเบื้องหลังทุนสำรองของประเทศ ซึ่งว่ากันว่า เงินที่เราใช้นี้ก็มีที่มาในสมัยก่อนจากทอง คือ เป็นกระดาษที่พิมพ์มาแทนทอง จะได้ใช้จ่ายคล่องขึ้น ไม่ต้องมีการส่งมอบทองจริง เปลี่ยนมาส่งแค่กระดาษแทน อันนำมาสู่กระบวนการซับซ้อนขึ้นว่า ถ้าจะพิมพ์เงินพิมพ์ธนบัตรคุณอาจทำได้ ขอแค่คุณมีทองคำมาหนุนหลังเพื่อเพิ่มความน่าน่าเชื่อถือ กระดาษที่สามารถแลกกลับเป็นทองได้จึงเป็นก้าวสำคัญของการเกิดขึ้นของเงินตรา

gold-is-money-2430052_640

ในช่วงศตวรรษที่ 19 ทางอังกฤษซึ่งเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกในขณะนั้นได้นำ “ระบบมาตรฐานทองคำ” (Gold Standard) ที่มีฐานความคิดดังที่อธิบายมาใช้กับกับเงินปอนด์ โดยระบบมาตรฐานทองคำนี้คงอยู่มายาวนาน

จนกระทั่งวันหนึ่ง ด้วยเหตุผลเกี่ยวเนื่องกับสภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบจากสงครามโลก จึงเกิดระบบการเงินใหม่ที่เรียกว่า ระบบมาตราปริวรรตทองคำ (Gold Exchange Standard) ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบห่วงโซ่ต่อเนื่อง มีประเทศ A เป็นศูนย์กลางในการถือทองคำ ส่วนประเทศอื่น ๆ นั้นก็เพียงแต่นำเงินตราของประเทศ A ไปถือไว้แทน ซึ่งในยุคนั้นสหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นมาสู่การเป็นประเทศศูนย์กลางในการถือทองคำแทนประเทศอื่น ๆ ในโลก และจุดนี้ทำให้อเมริกาในเวลาต่อมาได้กลายมาเป็นมหาอำนาจโลกในทางเศรษฐกิจ

และระบบการเงินก็ได้พัฒนาต่อมาสู่จุดที่ไม่จำเป็นต้องมีทองคำเกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ที่นำเรามาสู่จุดนี้ก็คือ สหรัฐอเมริกา เจ้าเดิมนั่นเองครับ ที่ประกาศยกเลิกการผูกติดทองคำกับการพิมพ์เงิน และระบบการเงินได้ยกย่องสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นฐานและเครื่องมือหนุนหลังระบบของการแลกเปลี่ยนเงินตราของโลก ทำให้ทุกวันนี้ประเทศต่าง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องมีทองคำหนุนหลังในการพิมพ์เงินตราอีกแล้ว เพราะสามารถใช้ทุนสำรองในลักษณะที่เป็นการสะสมสกุลเงินดอลลาร์หนุนหลังการพิมพ์เงินตราแทน  (โดยอาศัยการเอาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามาเป็นเดิมพันการันตีแทนทอง)

แต่อย่างไรก็ตาม หลายประเทศก็ยังมีการถือทองคำเป็นทุนสำรองอยู่นะครับ คนที่ถือเยอะสุดก็คือ สหรัฐอเมริกา นั่นเอง ตามมาด้วยเยอรมัน และ IMF ครับ

gold reserve 2018

2. ทองคำในบริบทของสินทรัพย์(ที่ดูน่าจะ)ปลอดภัย(จริงหรือ?)

ทองคำถูกจัดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven asset) เพราะว่ากันว่ามันเหมือนเป็นดั่งเครื่องชั่งคุณค่าของเงินตรา ถ้าวันใดฝั่งเงินตราโดยเฉพาะเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมา อีกฝั่งคือทองคำราคาจะสูงขึ้น มันจึงเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมของนักวิเคราะห์สำหรับการพิจารณาตัวเลขต่าง ๆ ไม่ว่าจะอัตราว่างงาน ตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่าง GDP หรือตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ ตัวเลขอะไรก็ตามที่บ่งบอกสภาพเศรษฐกิจสหรัฐ ล้วนผูกพันไม่มากก็น้อยกับราคาขึ้นลงทองคำ นักวิเคราะห์ก็เลยมักจะมาคอยลุ้นเลขที่ออกกันบ่อย ๆ

แล้วมันก็จะแปลกตรงที่เขามีตัวเลขให้ลุ้นตื่นเต้นกันทุกวันเลยทีเดียวครับ หากใครอ่านบทวิเคราะห์จะพบตารางปฏิทินประกาศตัวเลขมากมายยิ่งกว่าวันหวยออก เช่น วันนี้ตัวเลขประกาศอัตราว่างงานลดเหลือ 6% พรุ่งนี้รายงานตัวเลขดัชนีการผลิตขึ้น 0.2% มะรืนนี้จะรายงานดอกเบี้ยเหลือ 0.5% โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำพูดของประธาน FED (ธนาคารกลางสหรัฐ) ที่ออกมาพูดถึงนโยบายการเงินทีไร ทุกคนก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจยิ่งกว่ารางวัลที่ 1 พอบอกจะพิมพ์เงินเพิ่ม (ออกนโยบาย QE ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง) ทั้งหุ้นทั้งทองก็จะส่งผลเฮโลราคาพุ่งขึ้น

pexels-photo-366551

สมัยก่อนนั้นทองคำถูกนิยมเก็บสะสมในรูปทองรูปพรรณ (โดยเฉพาะทางฝั่งเอเชีย) ส่วนฝั่งสหรัฐ ยุโรป จะนิยมเก็บในรูปเหรียญทองคำเป็นรุ่น ๆ หรือรูปแบบของทองคำแท่ง แต่อย่างไรก็ดี วงการการเงินสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้ เพราะทองคำในสมัยนี้ยังมีรูปแบบของทองคำกระดาษหรือทองคำในทางสัญญา เพราะมีการเก็งกำไรกันด้วยตราสารการเงินใหม่ ๆ ให้ผลตอบแทนอ้างอิงจากราคาขึ้นลงของทองคำ ใช้วิธีตัดส่วนต่างราคาซื้อหักลบราคาขายเอา ไม่ต้องมีการส่งมอบทองคำจริง ๆ เรียกว่า ตราสารอนุพันธ์ทองคำ (Gold derivatives) จึงมีคนกล่าวกันว่า ทองคำเริ่มจะไม่ปลอดภัยไม่ Safe heaven เหมือนเดิมแล้ว และทองกระดาษหรือสัญญาทองคำอาจจะมีมูลค่ารวมกันทุกสัญญาสูงกว่าทองจริง ๆ ที่ได้ผลิตกันขึ้นมาบนโลก

3. พาหนะในการลงทุนทองคำ

การลงทุนในทองคำสมัยนี้มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบซื้อเป็นทองคำจริง ๆ จะแบบแท่ง แบบรูปพรรณ (ทองเส้น) หรือจะลงทุนในกองทุนทองคำ (Gold funds) คือเอาเงินไปรวมกันเป็นก้อนใหญ่กับนักลงทุนรายย่อยอื่นเพื่อซื้อทองคำแล้วหาคนมาบริหารจัดการให้

ถ้าในระดับโลกจะมีกองทุนทองคำใหญ่ที่มีบทบาทสูง คือ SPDR Gold Trust/Share ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในหลายตลาดหุ้น เช่น ตลาดหลักทรัพย์ New York, Hong Kong, Singapore อธิบายง่าย ๆ เกี่ยวกับระบบกองทุนทองคำ คือ เอางี้นะ ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโลกส่งเงินมา เราจะรวมเป็นเงินก้อนบิ๊กบึ้มไปซื้อทองคำ หาที่เก็บ หาที่ดูแลรักษาให้ แต่เราขอค่าบริหารจัดการให้เรานิดนึง อันนี้คือหลักการ (concept) ของกองทุน SPDR ดังกล่าว

จากข้อมูลล่าสุดตอนนี้กองทุนดังกล่าวถือครองทองคำประมาณ 850 ตัน มากกว่าประเทศอย่างญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ที่ครองอันดับ 9-10 ของประเทศที่ถือครองทองคำเป็นทุนสำรองเลยทีเดียวครับ

spdr8-5-18
ข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ของกองทุน ณ วันที่ 08/05/2018

สมัยก่อนราคาทองคำจะอิงกับค่าเงินดอลลาร์เป็นหลัก แต่สมัยนี้ชักจะเริ่มไม่ใช่ครับ เนื่องจากมีการเก็งกำไรกันสูงมาก และทองคำเป็นตัวสินค้าที่ Hedge Fund หรือกองทุนเก็งกำไร มุ่งลงมาหาเงินกับมันกันอย่างมาก กองทุนพวกนี้มีหน้าที่ทำกำไรสูง ๆ ให้กับผู้ร่วมลงทุน ซึ่งวิธีที่เขาใช้กันคือใช้ปัจจัยทางเทคนิค (ทำนายแนวโน้มราคาขึ้นหรือลง แล้วก็ทำการซื้อขายเอา)

และวิธีหนึ่งในการลงทุนทองคำอย่างไว ๆ ก็คือการเข้าซื้อ SPDR Gold นั่นเอง แนวทางการลงทุนทองคำสมัยใหม่สำหรับนักลงทุนจึงเป็นการลงทุนผ่านกองทุนทองคำนั่นเองครับ โดยเฉพาะกองทุนทองคำแบบ ETF ซึ่งสามารถซื้อขายได้ทันที (real-time)

gp.PNG

4. ราคาของ ทองคำ

ย้อนกลับมาดูกันเรื่องราคาทองคำบ้าง จาก goldprice.org เมื่อซัก 10 กว่าปีที่แล้ว ทองคำวิ่งที่ประมาณ 300-400 ดอลลาร์ต่ออนซ์ (troy ounce – เป็นหน่วยสากลของทองคำ) ตีเป็นเงินไทยนั้นน่าจะประมาณไม่เกิน 10,000 บาท (เราจะเห็นได้ว่าทองคำนั้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูง และมีรอบของมัน และติดหล่มนานมาก)

จนเมื่อประมาณปี 2000 ราคาก็พุ่งขึ้น ๆ จนกระทั่งสูงสุดแตะเกือบ 1900 เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปี 2011-2012 และนั่นคือ ดอยทอง ที่คนติดทองกันสูงมาก หนาวสุดขั้วหัวใจ ราคาไทยก็ประมาณเกือบ 27000 บาทนั่นหล่ะครับ

และหลังจากยุคทะยานไม่หยุดหย่อนนั้น ทองคำก็ร่วงลงมาเรื่อย ๆ จนแตะ 1300 โดยเฉพาะตอนสงกรานต์ปี 2013 เป็นจุดร้องระงมที่ทำนักลงทุนจำนวนมากบาดเจ็บจากทองคำไปตาม ๆ กัน ทั้งร้านทอง คนซื้อทอง ซื้อกองทุนทอง คนลงทุนในสัญญาอนุพันธ์ทองคำ

กลับไปก่อนหน้านี้ที่พูดถึงกองทุน SPDR กองทุนนี้เค้าเคยถือทองคำถึง 1300 ตัน แต่ตอนช่วงต้นปี 2013 เป็นต้น กองทุนได้เคยขายทองหนัก ๆ เกือบ 300 ตัน (และปัจจุบัน 2018 เหลืออยู่เท่า ๆ เดิมที่ 850+) ถ้าจำหลักมันได้ คือ กองทุน SPDR รวมเงินทุกคนไปซื้อทองและจัดการให้ถูกไหมครับ งั้นคิดภาพถ้าทุกคนอยากขายหล่ะ ใช่ คำสั่งจะถูกส่งไปยังกองทุน และนั่นคือที่มาว่าทำไม ราคาทองมันลงเรื่อย ๆ เพราะกระแสคำสั่งขายล้วนระดมเข้าสู่โครงการกองทุน SPDR

และเมื่อมีคนขายอย่าง SPDR ก็ต้องมีคนซื้อ เวลาทองคำราคาตก ก็มีกลุ่มผู้ซื้อเก็บและกลุ่มผู้ได้ประโยชน์จากการที่ทองคำมีราคาลดลง เช่น พวกอุตสาหกรรมเครื่องประดับ เหล่าธนาคารกลางหรือแบงก์ชาติของแต่ละประเทศ

5. กองทุนรวมทองคำในไทย

ความสำคัญของกองทุน SPDR คือ กองทุนนี้เป็นกองทุนหลักที่กองทุนทองคำในบ้านเรามักจะไปลงทุนผ่านครับ เวลานักลงทุนทำการซื้อขายกองทุนทองคำ พวกกองทุน X-Gold กองทุนเหล่านี้ซึ่งมีกองทุน SPDR Gold Share เป็นกองแม่ ก็จะส่งคำสั่งซื้อขายต่อไปยังกอง SPDR

พูดให้เห็นภาพก็คือ นักลงทุนถือกองทุนทองคำในไทย ซึ่งกองทุนในไทยกองนั้น ไปลงทุนในกองทุน SPDR และ SPDR ไปลงทุนในทองคำ เราจึงถือทองคำผ่านระบบอ้อมหลายรอบหน่อย ๆ

และนักลงทุนต้องเข้าใจว่า กองทุนทองคำเนี่ย เวลาเราซื้อคือเหมือนเราซื้อทองคำที่ราคา ณ จุด ๆ นั้นนะครับ ซึ่งปกติก็คือราคาปิดทำการของวัน ผู้บริหารกองทุนไม่ได้มาจัดการซื้อขายจับจังหวะอะไรให้ มันแทบจะเหมือนซื้อทองคำจริง ๆ (แต่ไม่ซะทีเดียว) ถ้าราคาร่วงก็ร่วงจริง ๆ ต้องรอมันราคาขึ้นมา เช่น นักลงทุนที่ลงทุนซื้อกองทุนทองคำ ตอนราคาทองบาทละ 20,000 นักลงทุนก็จะมีต้นทุนที่ตรงนั้นนั่นล่ะครับ

กองทุนทองคำจึงไม่เหมือนกับพวกกองทุนหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนยังสามารถสับเปลี่ยนหุ้นสร้างผลตอบแทนได้ หรือหุ้นที่กองทุนถืออาจมีการจ่ายปันผลเข้ามาเพิ่มกำไรให้นักลงทุนได้ แต่ว่า ทองคำนั้นตรงข้ามเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนอื่นนอกจากการที่คุณหวังให้ราคามันขึ้น ๆ ลง ๆ (คุณถือทอง 1 ก้อนผ่านไป 100 ปีคุณก็มีทองแค่ 1 ก้อนเช่นเดิมครับ มันไม่งอก)

ข้อตรงนี้ต้องระวังด้วย และการถือกองทุนทองคำก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น การจ่ายค่าธรรมเนียมตอนเข้าซื้อหรือขายออก (0.5-1.0%) และการถือครองมันไว้ก็จะเสียค่าใช้จ่ายรวมของกองทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการบริการจัดการ อีกรวม ๆ 1.0-2.0% ต่อปี

การเลือกลงทุนทองคำในรูปแบบไหนก็มีต้นทุนอยู่ดีครับ การลงทุนทองคำหรือทองคำแท่ง คนเราก็จะพะวง บางคนก็เลือกจะเก็บไว้ที่บ้าน ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษา เช่น เก็บในตู้เซฟ หรือบางคนอาจจะไปทำการเช่าตู้นิรภัยที่ธนาคาร การถือทองคำจริง ๆ จึงมีต้นทุนเช่นกัน ถึงกับมีสำนวนไทยว่า มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว คือ มีทองนิดนึงเราก็พะวงไปต่าง ๆ นานาแล้ว

ในขณะที่การถือทองคำผ่านกองทุนรวมก็จะตัดปัญหาเรื่องการดูแลรักษาทองตรงนี้ไป แต่เราก็จะจ่ายในรูปค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุนแทนครับ

อีกอย่างคือผลตอบแทนทองคำมันผกผันกับค่าเงินดอลลาร์ด้วย เราต้องตรวจสอบว่ากองทุนทองคำที่เราลงทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงินอย่างไรบ้าง เพราะสมมติถ้าราคาทองขึ้น (มักจะอิงเป็นราคาสกุลเงิน USD) มันจะมีปัญหาเวลาเราขายเอาเงินกลับมา เราต้องดูอีกว่า ถึงแม้เราจะได้กำไรจากราคาทองที่สูงขึ้น แต่ถ้าค่าเงินบาทเราแข็งค่าขึ้น เราก็อาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ครับเวลาเราขายกองทุน

6. ตราสารอนุพันธ์ทองคำ

ปกติตราสารอนุพันธ์จะมี 4 รูปแบบได้แก่ Forwards, Futures, Options และ Swaps ผมขออธิบายสักอันหนึ่งเป็นตัวอย่าง เอาแบบง่าย ๆ เลย นาย A ทำสัญญากับนาย B ว่า อีก 3 เดือนข้างหน้า นาย A จะขายทองคำจำนวน 10 บาทให้นาย B ที่ราคาบาทละ 20,000 บาท (มูลค่ารวม 200,000) และนาย B ตกลงจะจ่ายเงินให้นาย A ตามสัญญาดังกล่าวในวันนั้น ลักษณะสัญญาสร้างหนี้แก่ทั้งคู่จึงเป็น Gold Forwards นั่นหมายความว่า ถ้าอีก 3 เดือนข้างหน้า ราคาทองคำกลายเป็น 25,000 เท่ากับมูลค่าสัญญานี้จะกลายเป็น 250,000

ถามว่าใครได้ประโยชน์ครับ คำตอบคือ คนซื้อหรือนาย B ยังไงล่ะ เพราะแทนที่จะต้องซื้อทองคำนี้ในราคาบาทละ 25,000 ก็สามารถซื้อได้ตามสัญญาเพียงแค่บาทละ 20,000 จากนาย A (คนขาดทุนคือนาย A เพราะสามารถเอาทองไปขายได้จริง 25,000 แต่ถูกบังคับโดยสัญญาให้ต้องส่งมอบแก่นาย B มิฉะนั้นตนจะผิดสัญญา)

ในทางกลับกัน ถ้าทองคำเหลือบาทละ 15,000 แบบนี้คนขายคือนาย A จะได้กำไรเพราะขายทองได้ตั้ง 20,000 แก่นาย B และนาย B ก็จะขาดทุนเพราะแทนที่จะซื้อทองคำจากท้องตลาดในราคา 15,000 ก็ต้องปฏิบัติตามสัญญายอมซื้อที่บาทละ 20,000

ความซับซ้อนอยู่ที่ว่า สัญญาทางการเงินเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีการส่งมอบทองคำจริง ๆ ก็ได้ หรือคู่สัญญาไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทองคำจริง ๆ ก็ได้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมมูลค่าทองในกระดาษสูงกว่ามูลค่าทองคำแบบมีตัวตน (physical) ก็เพราะอาจจะมีทองจริงแค่จำนวนหนึ่ง แต่สัญญานั้นสามารถสร้างขึ้นได้เรื่อย ๆ บนทองจริงที่มีนั้น และอาจมีการตกลงทำสัญญาซ้อนสัญญาไปอีกแบบทบทวีเรื่อย ๆ

7. บทสรุปการลงทุน ทองคำ

นักลงทุนสามารถลงทุนทองคำได้หลายรูปแบบ ทั้งเก็บทองคำในลักษณะที่เป็นเหรียญ เป็นทองคำแท่ง เป็นทองรูปพรรณ เป็นสัญญา (อนุพันธ์) หรือทำการออมทองที่ห้างทองต่าง ๆ มีโปรแกรมนี้ แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องเข้าใจให้ดีและจำขึ้นใจ คือ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาเพราะมีการให้ราคา การที่ในอนาคตมันจะมีราคาเป็นอย่างใด ขึ้นอยู่กับคุณค่าและมุมมองของระบบการเงินในตอนนั้น

ด้วยเหตุนี้เราจึงหวังได้เพียงแค่คาดหวังว่าราคาทองจะสูงขึ้น และทองคำไม่มีผลตอบแทนอื่นใดนอกจากราคาให้เราเหมือนสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้น (ที่แสดงถึงส่วนในกิจการของบริษัทและมีการจ่ายปันผลให้) หรือ อสังหาริมทรัพย์ ที่มีค่าเช่าหรือผลผลิตจากการทำเกษตรในที่ดินนั้น

อย่างไรก็ดี มีนักลงทุนหลายคนที่ไม่ชอบทองคำนะครับ และคำพูดเจ็บถึงใจที่พวกเขาโต้ว่าการลงทุนทองไม่ดีอย่างที่คิด ก็เช่น คนซื้อทองเนี่ยทำได้เพียงแค่ลูบ ๆ คลำ ๆ มันเท่านั้นหล่ะ ดอกเบี้ยอะไรก็ไม่ให้ เก็บไว้ 10 ปีก็ไม่งอก ได้แต่นอนรอสักวันราคาจะขึ้นตามความเชื่อเท่านั้นเอง

นักลงทุนในตำนานคนหนึ่งที่ไม่ชอบการลงทุนในทองคำ คือ Warren Buffett ซึ่งเห็นว่า ถ้านำทองคำทั้งโลกมาแปลเป็นเงินตราแล้วเอาไปซื้อบริษัทอย่าง Exxon Mobil หรือซื้อที่ดินทั้งอเมริกา มันจะมีประโยชน์มากกว่าเยอะ เพราะสินทรัพย์อย่างอสังหาริมทรัพย์และกิจการต่าง ๆ สามารถสร้างผลผลิตที่แท้จริง เช่น ผลผลิตทางการเกษตร สินค้าและบริการ แบบที่การถือทองคำเอาไว้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย

อีกทั้งหลายคนยังเชื่อว่า ทองคำได้สูญเสียลักษณะของสินทรัพย์ลงทุนอันแสนปลอดภัยไปแล้ว และได้เข้าสู่โลกแห่งการเก็งกำไรอย่างรุนแรงแทน แถมจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทองคำได้ทำลายความเชื่อที่ว่า “ทองมีแต่ขึ้นไม่มีลง” ที่หลายคนเชื่อถือและบูชาความคิดนี้กันซะราบคาบ

สมัยก่อนถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ทองคำ สมัยนี้ทุกคนขับรถหนีจากถนนทองคำ แต่ขึ้นเครื่องบินทุกสายไปสู่ตลาดหุ้นแทน และตลาดการเงินมักซ้ำรอยเดิม เดี๋ยวก็จะเกิดเหตุการณ์สักวันหนึ่งที่ถนนทุกสายยูเทิร์นกลับมาฮิตลงทุนทองคำกันอีกรอบ พร้อมคำพูดที่ว่า “ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว” ซึ่งว่ากันว่าเป็นคำพูดที่น่ากลัวที่สุดในตลาดการเงินและลงทุนครับ