คลังเก็บหมวดหมู่: Research

SET Total Return vs. SET Index return

ก่อนถึงประเด็นเรื่อง SET Total Return เราต้องย้อนไปหาประเด็นเรื่องตลาดหุ้นก่อน เพราะเรามักจะได้ยินคำว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ไม่ไปไหน ถ้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีเคยสูงสุดที่ 1753 จุดตอนต้นปี 4 มกราคม พ.ศ. 2537 หากแต่ตอนนี้ยังอยู่แค่ประมาณ 1500 – 1600 จุด แสดงว่าผ่านมาเกือบ 25 ปี ตลาดหุ้นไทยยังกลับไปจุดเดิมไม่ได้เลย ไหน ไหน ไหน ใครบอกให้ลงทุนในหุ้น

ความแตกต่างระหว่าง SET Total Return กับ SET Index

จริง ๆ แล้ว ต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ดัชนีที่ประกาศกันอยู่ในแต่ละวัน คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ดัชนี SET Index ซึ่งคำนวณเฉพาะราคาหุ้น (รายละเอียดวิธีการคำนวณ) โดยเริ่มต้นที่ 100 จุด ณ วันที่ตลาดหุ้นเปิดทำการวันแรก ชื่อของมันอีกอย่าง คือ SET Price return index (SET PR)

หากแต่ลองคิดภาพเราถือหุ้นทั้งตลาดหุ้น บริษัทหรือกิจการที่อยู่เบื้องหลังหุ้นนั้น ๆ ถ้ามีกำไรก็จะต้องจ่ายออกมาเป็นเงินปันผลให้นักลงทุนด้วย เพราะฉะนั้น ผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นที่แท้จริงจะต้องมาจาก 1. ราคาหุ้น (capital gain) กับ 2. เงินปันผล (dividend) และถ้านักลงทุนนำเงินปันผลที่ได้มาซื้อหุ้นเพิ่มอีก ทำให้ในปีต่อไปจำนวนหุ้นที่ถือจะมากขึ้น ผลตอบแทนปันผลก็ควรจะมากขึ้นตามไปด้วย

หากนักลงทุนทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ โดยในแต่ละปีเมื่อได้ปันผลก็นำปันผลมาลงทุนทบต้นกลับ (re-invest) ที่มักจะเรียกกันว่า ลงทุนแบบทบต้น ทำให้ผลตอบแทนที่ท่านจะได้รับ เป็นไปในรูปแบบที่คล้ายกับดอกเบี้ยทบต้น (compound interest) เช่น ในปีที่หนึ่งฝากเงิน 100 บาทได้ดอกเบี้ย 5% คือ 5 บาท เอา 5 บาทมาฝากเป็นเงินต้นกลับ ปีที่สองก็จะมีเงินต้นที่ 105 บาทและจะได้ดอกเบี้ย 5.25 บาทก็เอามาฝากทบต้นต่อ แล้วก็ทำไปเรื่อย ๆ

โดยดัชนีที่ทำหน้าที่แสดงผลตอบแทนทบต้นและผลตอบแทนโดยรวมของตลาดหุ้นจริง ๆ ก็คือ SET Total Return Index (SET TR หรือ SET TRI) ซึ่งคำนวณเสมือนมีการถือหุ้นทั้งตลาดแล้วเวลาได้ปันผลก็นำมาลงทุนทบต้นกลับทันที ดังที่อธิบายข้างบนครับ ถามว่ามันแตกต่างกันมากหรือไม่ ลองดูภาพข้างล่างนี้ครับ

เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ได้เริ่มคำนวณ SET Total Return ในวันที่ 2 มกราคม 2545 (2002) และเลขฐานคือ 1000 จุด ในขณะเดียวกันวันดังกล่าวดัชนีตลาดหุ้น SET PR หรือ SET Index อยู่ที่ 305.19 จุด ผมได้เทียบผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยให้วันดังกล่าวเริ่มต้นที่ 100% ข้างล่างคือภาพเปรียบเทียบผลตอบแทนของ SET TR กับ SET Index ครับ (SET TR คือเส้นสีฟ้า)

settri-v-index-2jan02-2jan17
ผลตอบแทนเปรียบเทียบระหว่าง SET Index – เส้นส้ม กับ SET TR – เส้นฟ้า  (02 Jan 02 – 16 Jan 17)

นั่นก็คือผ่านมา 15 ปี เริ่มต้นเงินที่ 10,000 บาท เงินที่ลงทุนใน SET โดยไม่ได้นำปันผลมาลงทุนทบต้น จะกลายเป็นเงินมูลค่า 51,502 บาท (จาก 100% เป็น 515.02%) ในขณะที่ถ้าคุณลงทุนในตลาดหุ้นโดยนำปันผลกลับมาลงทุนทบต้นต่อ เงินก้อนนั้นจะกลายเป็น 92,349 บาท !! (923.49%) หรือเกือบ 2 เท่าของเงินก้อนเดียวกันที่นำปันผลไปใช้ หมายความว่า ส่วนต่างถึง 40,847 บาทเป็นผลตอบแทนรวมของเงินปันผล ที่คนที่เอาเงินออกไปใช้จะไม่รู้หรอกว่าเขาจะพลาดอะไรบ้าง (แต่ตอนนี้น่าจะรู้แล้ว)

นั่นแสดงว่า ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นไทย (Total Return) ถ้าแบ่งเป็น 100% จะมาจากเงินปันผลถึง 44.23% หรือกล่าวแบบรวบยอดได้ว่า 15 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยเกือบร้อยละ 45 มาจากเงินปันผล !! ยิ่งลงทุนนานเท่าไหร่ ผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นจะมาจากผลตอบแทนของเงินปันผลทบต้น

SET Total Return ผ่านเลนส์ต่างประเทศ

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงตอนอ่านหนังสือ Stocks for the Long Run ของ Jeremy Siegel ที่คำนวณผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นสหรัฐช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมาจะพบว่า เงินปันผลคือผลตอบแทนส่วนสำคัญของผลตอบแทนหุ้นและตลาดหุ้นในระยะยาว[1. ผลตอบแทนระยะยาวตลาดหุ้นสหรัฐช่วงปี 1802-2012 อยู่ที่ 8.1% ต่อปี ซึ่งมาจากผลตอบแทนในส่วนของเงินปันผลถึง 5.1% ต่อปี, See Jeremy J. Sielgel, Stocks for the Long Run: The Definitive Guide to Financial Market Returns & Long-Term Investment Strategies, 5th ed. (New York: MaGrawHill Education, 2014), 82.-83.]

เพราะฉะนั้นวิธีลงทุนของเราจึงควรสอดคล้องกับสิ่งที่เราค้นพบข้างบน นั่นคือ จะต้องลงทุนในลักษณะที่สร้างพลังของดอกเบี้ยทบต้น และ เงินปันผลที่ได้รับก็ควรนำกลับมาลงทุนต่อ ไม่ใช่เอาออกไปใช้

วิธีที่น่าจะเรียบง่ายที่สุดของนักลงทุนทั่วไปก็คือ ลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด และเป็นกองทุนประเภทที่ไม่จ่ายปันผลเพื่อให้เงินของเราลงทุนทบต้นต่อไปเรื่อย ๆ ไม่นำออกมาใช้ และไม่ต้องโดนภาระภาษีจากเงินปันผล

และถ้านักลงทุนต้องการผลตอบแทนแบบนี้ นักลงทุนจะต้องลงทุนระยะยาวในกองทุนหุ้นโดยการถือครองระยะยาว และเพื่อสอดคล้องกับหลักการลงทุนอัตโนมัติก็ควรจะ ซื้อแบบสะสม เพื่อลงทุนระยะยาวเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่นักลงทุนที่เป็นตำนานหลายๆคน แนะนำ

พูดถึงเรื่องนี้ทำให้นึกถึงสมัยก่อนที่กองทุนในไทยมักจะชอบใช้ดัชนีชี้วัด (benchmark) เป็น SET Index (SET PR) ทำให้เราจะเห็นว่ากองทุนส่วนใหญ่ทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้นตลอด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่ปัจจุบันได้มีการแก้ไขมาใช้ SET TR เป็นดัชนีชี้วัดแทน ต่อไปก็จะได้เห็นชัด ๆ ครับว่า ระยะยาว กองทุนแบบบริหาร (active funds) ที่ชนะตลาดหุ้นมีน้อยมาก

บทสรุปเกี่ยวกับ SET Total Return

บทสรุปของบทความนี้มีอยู่ว่า การลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น ควรลงทุนให้สอดคล้องกับธรรมชาติของผลตอบแทนตลาดหุ้น นั่นคือ ลงทุนโดยการถือครองหุ้นระยะยาว และเวลาได้ผลตอบแทนก็นำกลับไปลงทุนทบต้น ปล่อยให้เงินที่ลงทุนเติบโตต่อเนื่องเรื่อยไป เสมือนดั่งการปลูกต้นไม้ใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถสร้างต้นไม้ที่ให้ร่มเงาได้ภายในเวลาไม่กี่ปีครับ การลงทุนต้องใช้เวลา อดทนถือลงทุนระยะยาวอย่างมีวินัย และลงทุนอย่างสม่ำเสมอให้ได้ครับ แล้วผลลัพธ์ที่สดใสจะรอนักลงทุนทุกคนอยู่

“Someone is sitting in the shade today because someone planted a tree a long time ago.” — Warren Buffett

ปล. หลังจากทำบทความนี้ได้ 2 เดือน ผมก็ได้ข้อมูลครบของ SET TRI ทำให้ค้นพบว่า ผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นกว่าร้อยละ 80 มาจากผลตอบแทนของดอกเบี้ยทบต้นครับ !! — เงินปันผล : หัวใจแห่งผลตอบแทนหุ้น ****

ปัญหาของ Magic Formula และ Back-Testing

เรื่องพวก Magic Formula หรือระบบการลงทุนที่เราอาจจะใช้อัตราส่วนทางการเงินบางอย่างเลือกหุ้น เช่น ค่า P/E – P/B – Dividend yield – ROA – ROE มาเลือกหุ้นถือครอง

อันที่จริงผมเคยอ่านหนังสือของ Joel Greenblatt เจ้าตำรับสูตรลับพวกนี้มานานมาก ในหนังสือก็จะโชว์ผลตอบแทนทบต้นระดับ 20-40% ต่อปีกันเลยทีเดียว งานวิจัยในไทยบางชิ้นก็สอดรับไปในทางนั้น

คำถามคือแล้วทำไมนักลงทุนถึงไม่ลงทุนตามนั้นกันล่ะ?

อันนี้เป็นการทดสอบส่วนตัวนะครับ ผมเคยนั่งลองทำลองดึงข้อมูลโดยใช้เกณฑ์เลือกหุ้นที่ P/E ต่ำสุด P/B ต่ำสุดมานั่งทดสอบย้อนหลัง เหมือนจะเคยโพสไปทีหนึ่ง มีปรับสูตรหลายแบบดู เช่น P/E ต่ำสุดแต่ห้ามต่ำกว่า 5 หรือใช้หุ้น 10 ตัวกับใช้หุ้น 15 ตัว

ผลลัพธ์ก็คือ บางวิธีให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นอย่างมาก ดีใจ ใช่แล้ว ผมว่าเออ มันมีจริง ๆ สูตรแบบนี้ไม่ยากด้วย แต่นั่นคือ บน excel แบบจำลองบนกระดาษ เพราะพอมาทำจริง คุณจะพบปัญหามากมาย

สมมตินะ เราคำนวณ ณ สิ้นปี 31 ธันวาคมเท่ากับวันแรกในปีถัดไป เราก็จะต้องซื้อบนโมเดลหุ้นที่เราคำนวณได้ ซึ่งเรื่องจริงนั้น หุ้น (ส่วนใหญ่) ที่เข้าตามสูตรอาจจะมีสภาพคล่องที่ต่ำ เช่น วันหนึ่งซื้อขายกันนิดเดียวไม่มีคนขายให้ บางทีก็โดนไล่ราคา พอโดนไล่ราคา ค่าต่าง ๆ ตามสูตรก็เพี้ยน ถ้าซื้อไม่ได้ในวันนั้นค่าต่าง ๆ ก็เปลี่ยน เพราะหุ้นบางตัวอาจจะราคาทะยาน

เจ้าปัญหาข้างบนนี้นี้เป็นปัญหาสำคัญที่ผมเรียกว่า Liquidity Error คือทำจริงแล้วเจอปัญหาหุ้นบางตัวซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้นกรณีแบบเงินเยอะ ๆ หลัก 10 ล้านขึ้นแล้วจะทำแบบนี้ทำได้ยากมาก ๆ ครับ

สูตรใดหรือสูตรที่แท้จริง

นักลงทุนบุคคลธรรมดาอาจจะไม่สามารถมาเสียเวลานั่งทำแบบนี้ได้ เอาแค่เลือกสูตรว่าจะใช้ P/E – P/B – ROA หรือ ROE หรือจะผสมกันดีก็งงล่ะ แล้วนักลงทุนจะต้องเชื่อมั่นอย่างมากด้วย เพราะมันมีปีที่แพ้ตลาดหลุดรุ่ย และอาจจะแพ้ติด ๆ กันหลายปี ความเชื่อมั่นก็เป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง เกิดไปเลิกก่อนที่สูตรจะมีผลลัพธ์ที่ดีก็จะมีปัญหา และนักลงทุนต้องคุมจิตใจให้ดี เพราะสูตรพวกนี้มันทำให้บางทีนักลงทุนที่ลงทุนมาสักพักรู้จักหุ้นพอสมควร จะกระอักกระอ่วนใจที่จะซื้อ ก็จะเกิดปัญหา แหกสูตร

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เกิดไปเจอหุ้นที่เป็น Commodity ขายสินค้าโภคภัณฑ์ แล้วปีนั้นกำไรมันสูง ทำให้ค่าอัตราส่วน P/E ต่ำมาก แต่นักลงทุนที่สมมติยึดหลัก VI ในการลงทุน นักลงทุนจะเห็นว่ามันไม่โอเค แต่ถ้ามันอยู่ในสูตร นักลงทุนจะทำอย่างไร จะเชื่อสูตรหรือเชื่อตัวเอง นักลงทุนบางท่านก็กลัวว่ากำไรมันผิดปกติ ก็เลยไม่ซื้อ แต่นี่ล่ะครับ

ผลลัพธ์ของสูตรจริง ๆ มาจากการเข้าซื้อดื้อ ๆ หรือจริง ๆ มันมาจากการซื้อโดยที่ปรับปรุงสูตรกันแน่ ซึ่งกองทุนในต่างประเทศ แม้กระทั่งกองทุนที่ Greenblatt ลงทุนเองก็มีปรับสูตร คำถามคือ เราไม่รู้ว่าทำจริงแล้วต้องมีการปรับอะไรบ้างหรือไม่?

ผลกระทบจากค่าใช้จ่ายเมื่อลงทุนจริง

อันต่อมาคือ งานวิจัยส่วนมากนั้นอยู่บนกระดาษ ผลตอบแทนที่ได้เป็น Gross Returns ยังไม่หักค่าใช้จ่าย ถ้านักลงทุนทำจริงนักลงทุนจะเจอค่าคอมค่านายหน้าซื้อหุ้น (รวมไปถึงอธิบายข้างบนเจอค่าใช้จ่ายต้นทุน bid-ask spread ส่วนต่างราคา หรือ market cost ต้นทุนสภาพคล่องตลาด)

ทำให้ผลตอบแทนสุทธิระยะยาวจริง ๆ (Net Returns) จากที่มันเหนือกว่า พอหักค่าใช้จ่ายแล้วผลตอบแทนก็อาจจะไม่ได้ดีไปกว่าตลาดหุ้น หรืออาจจะน้อยกว่าตลาดหุ้นก็ได้ ถ้าผลตอบแทนระยะยาวมันดีจริง ทำไมอุตสาหกรรมกองทุนรวมไม่มาใช้ระบบนี้ทั้งหมดไปเลย

ผลกระทบจากระยะเวลาที่เลือก

พูดถึงเรื่องนี้ก็ขอพูดถึงเรื่องของ Back-testing หรือการไปนั่งคุ้ย ๆ ข้อมูลมาทำโมเดลใน excel แล้วก็ค้นพบการลงทุนอันยิ่งใหญ่ (สมัยก่อนผมก็ชอบทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน) แต่พออ่านหนังสือหลาย ๆ เล่ม กลับพบว่า การทำแบบนี้มันมันทำให้เกิดการค้นพบแบบเข้าใจผิด เช่น ผลลัพธ์ที่สุดยอดเกิดจากอคติด้านเวลา

สมมติคุณเลือกข้อมูลช่วงปี 2000-2015 คุณอาจจะพบว่าไอ้เจ้าสิ่งนี้มันลงทุนย้อนหลังแล้วดี แต่ถ้าเลือกเป็น 1995-2015 ผลตอบแทนอาจจะคนละม้วนเลยก็ได้ ในวงการก็มีเรื่องแบบนี้ครับ

ยกตัวอย่างเช่น ยูจีน ฟามา เคยค้นพบว่า การลงทุนในหุ้นที่มีค่า P/B หรือมูลค่าทางบัญชีต่ำ ๆ จะทำให้ชนะตลาดได้ ก็ฮือฮากันไปพักหนึ่ง (ช่วง 1970s) พอถึงยุคหลัง ๆ หนังสือ Stock for the Long Run ของ Jeremy Siegel ลองทำตรวจสอบพบว่ามันเป็นวิธีการลงทุนที่ไม่ชนะตลาดแล้ว

หรืออย่าง John Bogle ก็เคยดูกองทุนของตัวเอง กองหุ้น Value กับกองหุ้น Growth พอถึงจุดหนึ่งผลตอบแทนมันไม่หนีกัน เขาก็อธิบายว่า ช่วงยุคหนึ่งที่เป็นยุคทองของหุ้นคุณค่า ทำให้มันชนะตลาด paper งานวิจัยจึงได้รับอคติ (Bias) ตรงนั้นมา ทำให้ดูเหมือนหุ้นคุณค่าจะชนะหุ้นเติบโตในระยะยาว และเชื่อว่าต่อไปก็จะเป็นแบบนี้ แต่พอถึงยุคหนึ่งหุ้นเติบโตก็แซง แล้วมันก็สลับ ๆแบบนี้ไปมาจนมันไม่ต่างกัน (ลองอ่านบทความนี้ครับ -> “Reversion to the Mean” (RTM))

ข้อคิดเห็นบางประการ

สรุปแล้ว จงระวังการค้นพบอะไรบางอย่างจากตัวเลขที่ในระยะยาวมันอาจจะไม่ดีจริง ยิ่งถ้ามีค่าใช้จ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว อาจจะทำให้ผลตอบแทนมันแย่กว่าการถือกองทุนดัชนีแบบปกติเฉย ๆ จะเห็นว่า พักหลังผมก็ไม่ค่อยได้ทำวิจัยข้อมูลย้อนหลังอะไรหลาย ๆ อย่างแล้ว

อย่างกองทุนบริหารนี่ไม่เชื่อเลยว่าระยะยาว ๆ จริงแบบ 30-50 ปีข้างหน้า จะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครจะเป็นที่หนึ่ง ข้อมูลย้อนหลังประเภทที่เชื่อถือได้และทำซ้ำ ๆ มาจริง ๆ หลากช่วงเวลาจนวางใจได้ คือ ผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นที่อยู่ประมาณ 8-11% ทบต้นต่อปี ที่ตัวเลขมันจะวิ่งอยู่ในช่วงนี้

อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ คือผลวิจัยที่ว่าในระยะยาว ยังไงผลตอบแทนของหุ้นก็สูงกว่าตราสารหนี้อย่างมาก รวมถึงการที่กองทุนบริหาร (active funds) ในระยะยาวส่วนใหญ่จะพ่ายแพ้ให้กับตลาดหุ้น และไม่ได้ทำผลตอบแทนสูงกว่าอย่างที่พยายามชวนเชื่อกัน เป็นต้น

อีกอย่างหนึ่งที่น่าเก็บไปคิดคือ ถ้าทำ Back-testing หรือใช้สูตรมหัศจรรย์ในการลงทุนได้ ทำไม Warren Buffett หรือนักลงทุนชั้นเอกหลายคนถึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีแบบนี้ในการลงทุน ทำไมถึงยังเป็นแฟนคลับเหนียวแน่นของกองทุนดัชนีแบบธรรมดา ๆ อย่างกองทุนดัชนี S&P500 ทั้ง ๆ ที่ผมก็คิดว่าเขาต้องอ่านหนังสือของกรีนเบลท์แน่ ๆ อันนี้ก็ชวนคิด

นอกจากนี้ นักการเงินหรือนักลงทุนหลายท่านก็ออกมาเตือนให้นักลงทุนทั่วไปหลีกเลี่ยงเรื่องสูตรมหัศจรรย์ (magic formula) เช่น Ken Fisher[1. Ken Fisher and Lara Hoffmans, The Ten Roads to Riches: The Ways the Wealthy Got There (And How You Can Too!) (Hoboken: Wiley, 2009), 190.]

ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม

พึงระวังอะไรพวกนี้ให้ดีครับ พยายามยึดอยู่กับความเรียบง่าย และอย่าไปทำอะไรให้มันยากพิสดารจนเกินไป ลงทุนเป็นเรื่องของนิสัยกับวินัยเป็นส่วนใหญ่ และถ้าทำมันได้ไว ลงทุนเร็วตั้งแต่อายุ 20 กว่า ๆ ลงทุนไปเรื่อย ๆ ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนตลาดหุ้น ถือกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด ระยะยาวผลตอบแทนมันน่าประทับใจอยู่แล้วครับ หาทางเพิ่มเงินลงทุนซะ ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่เข้าใจมันจริง ๆ อย่าทำอะไรให้วุ่นวายจนเกินไป อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกับนักลงทุนส่วนใหญ่ซะมากกว่า

P/BV – DIV Yield – PE ตลาดหุ้นไทย ย้อนหลัง

ปีที่แล้วผมเคยทำการคำนวณ P/E ตลาดหุ้นไทย 40 ปี ในปีนี้ (2016) เลยตั้งใจเก็บสถิติสำคัญตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ครบครับ ทั้ง PE ตลาดหุ้นไทย ทั้ง P/B และ Dividend Yield ไว้เป็นข้อมูลอ้างอิง

เพราะถ้านับปีแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ (SET) เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1975 นี่ปี 2016 ก็ผ่านมาเกือบ 40 กว่าปีแล้ว ค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนทางการเงินที่คำนวณได้ โดยส่วนตัวผมคิดว่าค่อนข้างนิ่งและก็ใช้ประกอบการตัดสินใจได้ระดับหนึ่ง เรามาทำความรู้จักกับอัตราส่วนทางการเงินสำคัญๆกันอีกรอบก่อนครับ

P/E (Price/Earning) เป็นตัวเลขที่บอกเราว่า “ราคาที่จ่ายในการซื้อ ณ วันนี้คิดเป็นกี่เท่าของกำไรที่เราจะได้” ถ้าใช้กับ SET ก็จะหมายความว่า มูลค่ารวมของทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในตอนนี้คิดเป็นกี่เท่าของกำไรสุทธิ ตัวเลขคร่าว ๆ คือ ปี 2015 บริษัทจดทะเบียนใน SET ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ประมาณ 7 แสนล้านบาท ถ้ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่  13 ล้านล้านบาท ก็จะได้ค่า P/E ที่ 18.6 เท่า ผมแนะนำให้อ่านบทความเก่า ๆ จะพูดถึงตัวเลขนี้ค่อนข้างลึกครับ > P/E ตลาดหุ้นไทย 40 ปี

P/B (Price/Book Value) — เป็นตัวเลขที่บอกเราว่า “ราคาที่จ่ายในการซื้อ ณ วันนี้คิดเป็นกี่เท่าของมูลค่าทางบัญชีของกิจการ” (หรือก็คืออัตราส่วนราคาหุ้นต่อส่วนของผู้ถือหุ้น) ตัวเลขนี้ส่วนตัวผมว่าเสถียรระดับหนึ่ง คือ book value จะนิ่งกว่า earning เพราะกำไรสุทธิรายปีมันผันผวนได้รุนแรง อาจจะมองว่า book value มันก็คือตัวสะท้อนกำไรที่สะสมมาเรื่อย ๆ ครับ มันจึงไม่ผันผวนมาก เป็นตัวเลขที่ผมชอบดูระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะบอกว่านักลงทุนกำลังจ่ายแพงขนาดไหน ซึ่งต้องไม่ลืมว่าในตลาดหุ้น ยิ่งจ่ายแพงเท่าไหร่ ผลตอบแทนที่คุณจะได้ก็จะลดลง

มองให้ลึกไปอีก ROE (Return on Equity) หรืออัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เมื่อ equity ก็คือ book value การซื้อที่ book value เท่ากับ 1 ก็คือซื้อธุรกิจโดยได้ ROE เท่านั้นเลย แต่ยิ่งซื้อแพงเท่าไหร่ ระดับของ ROE ก็จะลดลงจากที่เราควรจะได้ลงมาเรื่อย ๆ ผกผันกับราคาที่เราจ่ายแพงขึ้น

Dividend Yield — เป็นตัวเลขที่บอกเราว่า “ราคาที่จ่ายในการซื้อ ณ วันนี้จะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตรากี่เปอร์เซ็นต์” เช่น ถ้าตัวเลขนี้อยู่ที่ 3% ก็หมายความว่า ถ้าซื้อหุ้นทุกตัวทั้ง SET วันนี้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่จะได้รับคือร้อยละ 3 (อ้างอิงจากตัวเลขปันผลล่าสุด)


ลองไล่ดูทีละตัวครับ ในแต่ละรูปจะมีพื้นหลังสีแดงกับสีเขียว สีแดงหมายถึงในช่วงเวลานั้นตัวเลขอัตราส่วน “แย่” กว่าค่าเฉลี่ย ส่วนสีเขียวหมายความว่าอยู่ในช่วงดีกว่าค่าเฉลี่ย ที่ใช้คำว่าดีกว่า แย่กว่า เพราะต้องแยกกันครับ กรณี P/E กับ P/B ตัวเลขมากแสดงว่าเรากำลังจ่ายแพงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ Dividend Yield ตัวเลขมาก คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งอันนี้ถือว่าดีครับ

(1) PE ตลาดหุ้นไทย

PE-1975-2015

สำหรับ P/E นี้ ตัวเลขค่าเฉลี่ยย้อนหลังคือ 12.5 เท่าครับ

ช่วงแดง ๆ เช่น 1994-1997 ก็จะเห็นว่า มันแพงกว่าค่าเฉลี่ย และสูงสุดยุคนั้นก็คือ P/E 25-30 เท่ากันไปเลย (ช่วงที่ SET Index อยู่ที่ 1500-1700 จุด)

และก็ตามมาด้วยวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งทำให้ตลาดหลักทรัพย์ร่วงลงมาภายในสองสามปีถัดมากว่า 70-90% เหลือประมาณ 200-300 จุดแทน

อีกช่วงที่น่าสนใจคือตั้งแต่หลังน้ำท่วมใหญ่ 2011 เป็นต้นมา ตัวเลขนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยมายาวนานครับ สองสามปีที่แล้วน่าจะมีคนทันช่วง 2013 ที่ดัชนีแตะ 1650 จุด (P/E ประมาณ 20) และตลาดหุ้นในเวลาต่อมาก็ตกหนักอีกรอบครับ

ข้อสังเกตเกี่ยวกับ PE ตลาดหุ้นไทย

ข้อที่น่าสังเกตคือ P/E ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาจจะอยู่ได้นานหลายปี การที่มันมีค่าสูงไม่ได้หมายถึงจะเกิดวิกฤตในเร็ววัน แต่เราต้องระลึกไว้ตลอดไม่ประมาทเพราะถ้ามันสูงนานมาก ๆ ด้วยกฎสำคัญของตลาดทุน คือ “Reversion to the Mean” (RTM) สักวันมันจะร่วงลงมาให้กลับสู่ค่าเฉลี่ย ทั้งนี้ถ้าลองดูค่าเฉลี่ย P/E 15 ปีย้อนหลัง (2001-2015) ตัวเลขจะอยู่ที่ 13.3 เท่า ซึ่งก็จะไม่ค่อยต่างกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12.5 สักเท่าไหร่ครับ


(2) P/B

PB-1975-2015

ค่าเฉลี่ยย้อนหลังของ P/B คือ 2.3 เท่าครับ (ตัวเลขนี้เริ่มคำนวณ 1988 นะครับ) จะเห็นว่า โดยปกติแล้วจากภาพรวมนั้น ตัวเลขนี้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยครับ มีช่วงที่ทะยานจริง ๆ คือ ช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือก่อนปี 1997

และช่วงที่น่าสนใจคือ 2013 ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยไปหน่อย อันตามด้วยการตกจากยอดดอย SET Index 1650 จุด

ที่ผมเคยบอกว่าตัวเลขนี้น่าสนใจก็เพราะว่า ปกติถ้ามันแพงกว่าค่าเฉลี่ยมาก ๆ มันมักจะบอกเราได้ดีครับว่าตลาดหุ้นเริ่มไปต่อไม่ไหว ส่วนตัวคิดว่าเกิน 2 เท่านี่ก็น่าระวังระดับหนึ่งแล้ว แต่ต้องดูประกอบตัวอื่นด้วยเหมือนกัน

ทั้งนี้ถ้าลองดูค่าเฉลี่ย P/B 15 ปีย้อนหลัง (2001-2015) ตัวเลขจะอยู่ที่ 1.84 เท่าครับ อันนี้จะเห็นว่า ต่างจากตัวเลขเฉลี่ยระยะยาวถึงเกือบ 0.5% ถ้าจะเอาอนุรักษ์นิยมควรใช้ตัวเลขที่น้อยกว่าครับ เพราะฉะนั้นในยุคนี้เราอาจจะใช้ P/B 1.85 เท่าเป็นตัวเทียบแทน


(3) Dividend Yield

YIELD-1975-2015

ค่าเฉลี่ยอัตราส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4.35% ซึ่งถ้าดูจากรูปจะเห็นว่ามันแดงไปซะหมด ข้อสังเกตคือในช่วงหลัง ๆ ปี 1990 อัตราส่วนเงินปันผลในภาวะปกติจะอยู่ที่ประมาณ 3% โดยเฉลี่ย

ทั้งนี้ถ้าลองดูค่าเฉลี่ย 15 ปีย้อนหลัง (2001-2015) ตัวเลขจะอยู่ที่ 3.37% ครับ อันนี้จะเห็นว่าต่างจากตัวเลขเฉลี่ยระยะยาวถึงเกือบ 1% ถ้าจะเอาอนุรักษ์นิยมควรใช้ตัวเลขที่น้อยกว่า เพราะฉะนั้นในยุคนี้เราอาจจะใช้ 3.4% เป็นตัวเทียบแทน


บทสรุป

ในช่วง 10-20 ปีย้อนหลังมานี้ ตลาดหุ้นมีอัตราส่วนหลายอย่างที่เปลี่ยนไป เช่น อัตราส่วนค่าเฉลี่ย P/B หรือค่า Dividend Yield ที่ลดลงจากอดีตค่อนข้างมาก ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของ P/E ก็สูงขึ้น เมื่อค่าเฉลี่ยยุคหลังต่ำกว่า ตัวเลขที่เราจะใช้ยิ่งควรที่จะต้องใช้เลขแบบอนุรักษ์นิยมเพื่อจะได้ดูปลอดภัยกว่า ดังนั้นตัวเลขอัตราส่วนเฉลี่ยที่อนุรักษ์นิยมของเราจะได้แก่ P/E — 12.5P/B — 1.84Dividend Yield — 3.37%

เมื่อลองเทียบตลาดหลักทรัพย์ล่าสุด (7 มิถุนายน 2016) P/E — 21.84, P/B— 1.85, Dividend Yield — 3.31%  เทียบกับอัตราส่วนค่าเฉลี่ยที่เราคำนวณได้นั้น ตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ SET ของเรานั้นมี P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ย P/B ใกล้ค่าเฉลี่ย และอัตราส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนิดหน่อย ตัวเลขไปทางเดียวกัน ก็พอบอกได้ระดับหนึ่งว่า นักลงทุนควรระมัดระวังไม่ประมาทครับ แต่ระดับของผลกระทบต่อนักลงทุนแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปครับ เช่น

(ก) นักลงทุนที่ลงทุนซื้อขายหุ้นเอง อันนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางของท่าน

(ข) นักลงที่ลงทุนโดยใช้วิธีลงทุนระยะยาวในกองทุนรวมหุ้นโดยใช้วิธีประเภท DCA อันนี้ผมว่า เราก็ลงทุนของเราไปเรื่อย ๆ อาจจะสะสมเงินสดไว้เพิ่มเติมเผื่อตลาดหุ้นตกในระยะอันใกล้นี้ จะได้มีเงินสดไว้ลงทุนตอนหุ้นถูก ๆ เพิ่มขึ้น แต่ท่านจะไม่สนใจมันและลงทุนซื้อเฉลี่ยไปเรื่อย ๆ ก็ได้ เพราะท่านก็จะต้องอยู่กับตลาดหุ้นไปอีก 10 ปีขึ้นไป บางคนที่อายุยี่สิบอาจจะต้องลงทุนไปอีก 30-50 ปี

เพราะฉะนั้นการที่ตลาดหุ้นจะขึ้นจะลงมันเป็นภาพสั้นเกินไปในช่วงระยะเวลาการลงทุนของเรา จะปล่อยผ่านก็ได้ครับ แต่ที่คิดว่าห้ามเลยคือ การจับจังหวะลงทุนโดยขายหุ้นทิ้งหมด

เพราะคำถามคือ ถ้าภาวะแบบนี้ยังยาวนานต่อไปท่านจะทำอย่างไร?

หรือถ้าท่านขายถูกจังหวะเป๊ะ ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ท่านจะกลับมาซื้อทัน ต้นทุนการผิดพลาดตรงนี้สูงไปครับ ควรมีวินัยแล้วลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ ดีกว่า หุ้นถูก หุ้นตก ท่านก็จะได้ซื้ออยู่ดี ถ้าท่านมีวินัยลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ

(ค) คนที่ลงทุนแบบปรับสัดส่วนลงทุน (Asset Allocation) ถ้ามีตัวเลขตายตัวอยู่แล้วแบบ 60/40 หุ้น:ตราสารหนี้ อันนี้ก็ไม่น่าห่วงครับ ก็ทำตามวินัยไป

ทั้งนี้นักลงทุนจะต้องระวังอย่างที่ John Maynard Keynes เคยเตือนว่า “The market can stay irrational longer than you can stay solvent.” ตลาดหุ้นอาจจะไร้เหตุผล แพงแล้วก็แพงขึ้นไปอีก กระทิงแล้วกระทิงอีก หรือหมีแล้วหมีอีก ตกแล้วก็ตกหนักได้อีก

นักลงทุนแต่ละคนมีแผนการลงทุนที่แตกต่างกัน จึงควรสนใจที่วิธีลงทุนของตนเป็นหลัก ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญคือ นักลงทุนจะต้องมี “วินัยในการลงทุนและอดทนทำตามแผน” อย่างแน่วแน่ครับ

P/E, P/BV, DIV Yield ตลาดหุ้นไทยย้อนหลัง

ปีที่แล้วผมเคยทำการคำนวณ P/E ตลาดหุ้นไทย 40 ปี, ปีนี้ (2016) เลยตั้งใจเก็บสถิติสำคัญตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ครบครับ ทั้ง P/E, P/B, Dividend Yield ไว้เป็นข้อมูลอ้างอิง เพราะถ้านับปีแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ (SET) เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1975 นี่ปี 2016 ก็ผ่านมาเกือบ 40 กว่าปีแล้ว ค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนทางการเงินที่คำนวณได้ โดยส่วนตัวผมคิดว่าค่อนข้างนิ่งและก็ใช้ประกอบการตัดสินใจได้ระดับหนึ่ง เรามาทำความรู้จักกับอัตราส่วนทางการเงินสำคัญๆกันอีกรอบก่อนครับ

  • P/E (Price/Earning) — เป็นตัวเลขที่บอกเราว่า “ราคาที่จ่ายในการซื้อ ณ วันนี้คิดเป็นกี่เท่าของกำไรที่เราจะได้” ถ้าใช้กับ SET ก็จะหมายความว่า มูลค่ารวมของทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในตอนนี้คิดเป็นกี่เท่าของกำไรสุทธิ ตัวเลขคร่าวๆคือ ปี 2015 บริษัทจดทะเบียนใน SET ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ประมาณ 7 แสนล้านบาท ถ้ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่  13 ล้านล้านบาท ก็จะได้ค่า P/E ที่ 18.6 เท่า แนะนำให้อ่านบทความเก่าจะพูดถึงตัวเลขนี้ค่อนข้างลึกครับ > P/E ตลาดหุ้นไทย 40 ปี 
  • P/B (Price/Book Value) — เป็นตัวเลขที่บอกเราว่า “ราคาที่จ่ายในการซื้อ ณ วันนี้คิดเป็นกี่เท่าของมูลค่าทางบัญชีของกิจการ(หรือก็คืออัตราส่วนราคาต่อส่วนของผู้ถือหุ้น)” ตัวเลขนี้ส่วนตัวผมว่าเสถียรระดับหนึ่ง คือ book value จะนิ่งกว่า earning เพราะกำไรสุทธิรายปีมันผันผวนได้รุนแรง อาจจะมองว่า book value มันก็คือตัวสะท้อนกำไรที่สะสมมาเรื่อยๆครับ มันจึงไม่ผันผวนมาก เป็นตัวเลขที่ผมชอบดูระดับหนึ่งเลยทีเดียวเพราะบอกว่านักลงทุนกำลังจ่ายแพงขนาดไหน ต้องไม่ลืมว่าในตลาดหุ้น ยิ่งจ่ายแพงเท่าไหร่ ผลตอบแทนที่คุณจะได้ก็จะลดลง (มองให้ลึกไปอีก ROE—Return on Equity อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เมื่อ equity ก็คือ book value การซื้อที่ book value = 1 ก็คือซื้อธุรกิจโดยได้ ROE นั้นเลย แต่ยิ่งซื้อแพงเท่าไหร่ก็จะลดจากที่เราควรจะได้ลงมาเรื่อยๆ)
  • Dividend Yield — เป็นตัวเลขที่บอกเราว่า “ราคาที่จ่ายในการซื้อ ณ วันนี้จะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตรากี่เปอร์เซ็นต์” เช่น ถ้าตัวเลขนี้อยู่ที่ 3% ก็หมายความว่า ถ้าซื้อหุ้นทั้ง SET วันนี้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่จะได้รับคือร้อยละ 3 (อ้างอิงจากตัวเลขปันผลล่าสุด)

ลองไล่ดูทีละตัวครับ ในรูปจะมีพื้นหลังสีแดงกับสีเขียว สีแดงหมายถึงในช่วงเวลานั้นตัวเลขอัตราส่วน “แย่” กว่าค่าเฉลี่ย ส่วนสีเขียวหมายความว่าอยู่ในช่วงดีกว่าค่าเฉลี่ย ที่ใช้คำว่าดีกว่า แย่กว่า เพราะต้องแยกกันครับ กรณี P/E, P/B ตัวเลขมากแสดงว่าเรากำลังจ่ายแพงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ Dividend Yield ตัวเลขมากคือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งอันนี้ถือว่าดีครับ


(1) P/E

PE-1975-2015

P/E นี่ตัวเลขค่าเฉลี่ยย้อนหลังคือ 12.5 เท่าครับ ช่วงแดงๆ เช่น 1994-1997 ก็จะเห็นว่าแพงกว่าค่าเฉลี่ย และสูงสุดยุคนั้นก็ P/E 25-30 เท่ากันไปเลย (ช่วงที่ SET Index อยู่ที่ 1,500-1,700 จุด) และก็ตามมาด้วยวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งทำให้ตลาดหลักทรัพย์ร่วงลงมาภายในสองสามปีถัดมากว่า 70-90% เหลือประมาณสองสามร้อยจุดแทน, อีกช่วงที่น่าสนใจคือตั้งแต่หลังน้ำท่วมใหญ่ 2011 เป็นต้นมา ตัวเลขนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยมายาวนานครับ สองสามปีที่แล้วน่าจะมีคนทันช่วง 2013 ที่ดัชนีแตะ 1,650 จุด (P/E ประมาณ 20) และก็ตกหนักอีกรอบครับ ข้อที่น่าสังเกตคือ P/E ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาจจะอยู่ได้นานหลายปี การที่มันมีค่าสูงไม่ได้หมายถึงจะเกิดวิกฤตในเร็ววัน แต่เราต้องระลึกไว้ตลอดไม่ประมาทเพราะถ้ามันสูงนานมากๆ ด้วยกฎสำคัญของตลาดทุน คือ “Reversion to the Mean” (RTM) สักวันมันจะร่วงลงมาให้กลับสู่ค่าเฉลี่ย ทั้งนี้ถ้าลองดูค่าเฉลี่ย P/E 15 ปีย้อนหลัง (2001-2015) ตัวเลขจะอยู่ที่ 13.3 เท่า ซึ่งก็จะไม่ค่อยต่างกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12.5 สักเท่าไหร่ครับ


(2) P/B

PB-1975-2015

ค่าเฉลี่ยย้อนหลังของ P/B คือ 2.3 เท่าครับ (ตัวเลขนี้เริ่มคำนวณ 1988 นะครับ) จะเห็นว่าโดยปกติแล้วจากภาพรวมนั้นตัวเลขนี้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยครับ มีช่วงที่ทะยานจริงๆคือช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง (ก่อนปี 1997) และช่วงที่น่าสนใจคือ 2013 ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยไปหน่อย (ตามด้วยการตกจากยอดดอย SET Index 1,650 จุด) ที่ผมเคยบอกว่าตัวเลขนี้น่าสนใจคือ ปกติถ้ามันแพงกว่าค่าเฉลี่ยมากๆ มันมักจะบอกเราได้ดีครับว่าตลาดหุ้นเริ่มไปต่อไม่ไหว ส่วนตัวคิดว่าเกิน 2 เท่านี่ก็น่าระวังระดับหนึ่งครับ แต่ต้องดูประกอบตัวอื่นด้วยเหมือนกัน ทั้งนี้ถ้าลองดูค่าเฉลี่ย P/B 15 ปีย้อนหลัง (2001-2015) ตัวเลขจะอยู่ที่ 1.84 เท่าครับ อันนี้จะเห็นว่าต่างจากตัวเลขเฉลี่ยระยะยาวถึงเกือบ 0.5% ถ้าจะเอาอนุรักษ์นิยมควรใช้ตัวเลขที่น้อยกว่าครับ เพราะฉะนั้นในยุคนี้เราอาจจะใช้ P/B 1.85 เท่าเป็นตัวเทียบแทน


(3) Dividend Yield

YIELD-1975-2015

ค่าเฉลี่ยอัตราส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4.35% ซึ่งถ้าดูจากรูปจะเห็นว่ามันแดงไปซะหมด ข้อสังเกตคือในช่วงหลังๆ 1990 อัตราส่วนเงินปันผลในภาวะปกติจะอยู่ที่ประมาณ 3% โดยเฉลี่ย ทั้งนี้ถ้าลองดูค่าเฉลี่ย 15 ปีย้อนหลัง (2001-2015) ตัวเลขจะอยู่ที่ 3.37% ครับ อันนี้จะเห็นว่าต่างจากตัวเลขเฉลี่ยระยะยาวถึงเกือบ 1% ถ้าจะเอาอนุรักษ์นิยมควรใช้ตัวเลขที่น้อยกว่า เพราะฉะนั้นในยุคนี้เราอาจจะใช้ 3.4% เป็นตัวเทียบแทน


จริงๆมันอาจจะบ่งบอกได้ระดับหนึ่งนะครับว่าในช่วง 10-20 ปีย้อนหลังมานี้ตลาดหุ้นมีอัตราส่วนหลายอย่างที่เปลี่ยนไป เช่น อัตราส่วนค่าเฉลี่ย P/B, Dividend Yield ที่ลดลงจากอดีตค่อนข้างมาก ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของ P/E ก็สูงขึ้น เมื่อค่าเฉลี่ยยุคหลังต่ำกว่า ตัวเลขที่เราควรใช้ยิ่งอนุรักษ์นิยมก็จะดูปลอดภัยกว่ามาก ดังนั้นตัวเลขอัตราส่วนเฉลี่ยที่อนุรักษ์นิยมของเราจะได้แก่ P/E—12.5, P/B—1.84, Dividend Yield —3.37%

สรุป

ลองเทียบตลาดหลักทรัพย์ล่าสุด (7 มิถุนายน 2016) P/E 21.84, P/B1.85, Dividend Yield3.31%  เทียบกับอัตราส่วนค่าเฉลี่ยที่เราคำนวณได้นั้น ตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ SET ของเรานั้นมี P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ย P/B ใกล้ค่าเฉลี่ย และอัตราส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนิดหน่อย ตัวเลขไปทางเดียวกัน ก็พอบอกได้ระดับหนึ่งว่านักลงทุนควรระมัดระวังไม่ประมาทครับ แต่ระดับผลกระทบต่อนักลงทุนแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปครับ เช่น

  1. นักลงทุนที่ลงทุนซื้อขายหุ้นเอง อันนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางของท่าน
  2. นักลงที่ลงทุนโดยใช้วิธีลงทุนระยะยาวในกองทุนรวมหุ้นโดยใช้วิธีประเภท DCA อันนี้ผมว่า เราก็ลงทุนของเราไปเรื่อยๆ อาจจะสะสมเงินสดไว้เพิ่มเติมเผื่อตลาดหุ้นตกในระยะอันใกล้นี้จะได้มีเงินสดไว้ลงทุนตอนหุ้นถูกๆเพิ่มขึ้น แต่ท่านจะไม่สนใจมันและลงทุนซื้อเฉลี่ยไปเรื่อยๆก็ได้ เพราะท่านก็จะต้องอยู่กับตลาดหุ้นไปอีก 10 ปีขึ้นไป (บางคนที่อายุยี่สิบอาจจะต้องลงทุนไปอีก 30-50 ปี) เพราะฉะนั้นการที่ตลาดหุ้นจะขึ้นจะลงมันเป็นภาพสั้นเกินไปในช่วงระยะเวลาการลงทุนของเรา จะปล่อยผ่านก็ได้ครับ แต่ที่คิดว่าห้ามเลยคือ การจับจังหวะลงทุนโดยขายหุ้นทิ้งหมด เพราะคำถามคือถ้าภาวะแบบนี้ยังยาวนานต่อไปท่านจะทำอย่างไร? หรือถ้าท่านขายถูกจังหวะเป๊ะ ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าท่านจะกลับมาซื้อทัน ต้นทุนตรงนี้สูงไปครับ มีวินัยแล้วลงทุนต่อไปเรื่อยๆดีกว่า หุ้นถูก หุ้นตก ท่านก็จะได้ซื้ออยู่ดี ถ้าท่านมีวินัยลงทุนต่อไปเรื่อยๆ
  3. คนที่ลงทุนแบบปรับสัดส่วนลงทุน (Asset Allocation) ถ้ามีตัวเลขตายตัวอยู่แล้วแบบ 60/40 หุ้น:ตราสารหนี้ อันนี้ก็ไม่น่าห่วงครับ ก็ทำตามวินัยไป แต่สำหรับท่านที่ยืดหยุ่นแบบบวกลบสัดส่วนได้นิดหน่อย เช่น ลงทุนแบบโปรเจกต์ B —Project “B” : Earning Yield Gap Asset Allocation 70/30 อันนี้ก็สามารถนำไปคำนวณสัดส่วนลงทุนได้ครับผม

“The market can stay irrational longer than you can stay solvent.” — John Maynard Keynes

ตลาดหุ้นอาจจะไร้เหตุผล แพงแล้วก็แพงขึ้นไปอีก กระทิงแล้วกระทิงอีก หรือหมีแล้วหมีอีก ตกแล้วก็ตกหนักได้อีก ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญคือ “วินัยในการลงทุนและอดทนทำตามแผน” นักลงทุนแต่ละคนมีแผนการลงทุนที่แตกต่างกัน สนใจที่วิธีลงทุนของตนเป็นหลักครับผม

RMF หุ้นไทย : ผลตอบแทนเทียบตลาดหุ้น

RMF หุ้นไทย : ทำผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดหุ้นไหม?

RMF (Retirement Mutual Fund) หรือชื่อไทยก็คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ วัตถุประสงค์ของมันคือเกิดมาเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับเป็นทุนไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ รัฐเลยจูงใจด้วยการให้สิทธิที่จะนำเอาเงินซื้อกองทุนชนิดนี้มาลดหย่อนภาษีได้ โดยมีข้อบังคับสำคัญคือ คุณจะต้องถือมันยาวจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์จึงจะขายได้ ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ด้วยข้อบังคับที่ทำให้เราต้องถือมันไว้นานมาก ไม่สามารถขายได้ (จริง ๆ ขายก่อนได้แต่เคลียร์กับสรรพากรเองครับ อิอิ)

โดยปกติถ้าคุณลงทุนไว เช่นลงทุนตั้งแต่อายุ 25 คุณจะมีเวลาถือมันถึง 30 ปี และเวลาที่นานขนาดนี้ ไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะทำให้เงินคุณโตได้มากเท่าหุ้นอีกแล้ว และหุ้นที่ถือนานสามสิบปีแทบไม่มีทางที่ผลตอบแทนจะติดลบเลย ดังนั้น คนอายุน้อยโปรดลงทุนในหุ้นเถิดจะเกิดผล

อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง นั่นก็คือ พอต้องลงทุนยาวมาก ๆ คนส่วนใหญ่พอลงทุนแล้วก็ไม่ค่อยได้ยุ่งกับมัน ซึ่งที่ซื้อกันมักจะเป็นกองทุนแบบบริหารคัดเลือกหุ้น (Actively Managed-funds) สิ่งที่สังเกตเห็นชัด คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นมักจะมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่อปีที่สูงมากกว่ากองหุ้นทั่วไป วันนี้ได้โอกาสผมเลยลองดึงข้อมูลมาดู พบว่า

1. ภาพรวมกองทุน RMF หุ้นไทย

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ลงทุนในหุ้น หรือ RMF หุ้นไทย กองแรกจดทะเบียนขึ้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2544 แล้วก็ค่อย ๆ ทยอยออกกันมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันมีกองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้นประมาณ 30 กว่ากองทุน ในนี้เป็นกองทุนดัชนี (Index Funds) จำนวน 6 กองทุน ที่เหลือเป็นกองทุนแบบบริหารคัดเลือกหุ้น ซึ่งผมได้ทำการค้น ค่าใช้จ่ายกองทุนรวมรายกอง โดยค่าใช้จ่ายที่ว่านี้จะประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายรวม Total Expense Ratio (TER) ได้แก่ ค่าบริหารจัดการ ค่านายทะเบียน ฯลฯ และค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือ ค่า Commission ที่กองทุนเสียเวลาซื้อขายหุ้น

ผมขออนุญาตเรียกรวมกันว่า Real Expense โดยค่าใช้จ่าย TER จะถูกเก็บเป็นรายวันหักออกจากกองทุน ส่วนค่าคอมมิชชั่นนั้นยิ่งกองทุนซื้อขายเปลี่ยนหุ้นบ่อยเท่าไหร่ (มี turnover rate สูง) ก็จะยิ่งเสียค่าใช้จ่ายตรงนี้เยอะเท่านั้น ซึ่งกองทุนไหนที่เก็บ TER แพงแล้วยังเทรดหุ้นซื้อขายบ่อยอีก ไอ้ส่วนที่จ่ายออกไปนี้จริง ๆ แล้วคือผลตอบแทนของนักลงทุนผู้ซื้อกองทุนทั้งนั้นครับ เช่น ถ้ากองทุนทำผลตอบแทนทั้งปีได้ 10% แต่กองทุนเก็บค่าใช้จ่ายรวมที่ 2% ต่อปี และเสียค่าคอมซื้อขายหุ้นอีก 1% ต่อปี ผลตอบแทนที่จะได้ก็จะเหลือมาถึงมือนักลงทุนแค่ 7% เท่านั้น ผลตอบแทนที่หายไปคือ 30% !!!!

2. การวิจัยเล็ก ๆ

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพประเภทที่ลงทุนในหุ้นไทยทั้งหมดนั้นเก็บ TER เฉลี่ยที่ 1.75% ต่อปี และจ่ายค่าคอมอีกประมาณ 0.57% รวมแล้วคือ 2.32% ซึ่งถือว่าสูงเลยทีเดียว แต่ทว่า! ถ้าหากตัดประเภทที่เป็นกองทุนดัชนีทิ้ง เราจะพบว่ากองทุนประเภทบริหารจัดการ คิดค่าใช้จ่ายรวมต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 1.95% ต่อปี และเสียค่าคอมอีก 0.69% แล้วที่เหลือจึงจะเป็นผลตอบแทนมาถึงนักลงทุน

เพราะฉะนั้น เบ็ดเสร็จแล้วค่าใช้จ่ายทั้งหมดจริง ๆ ของ กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพที่ลงทุนในหุ้นประเภท active fund โดยเฉลี่ยก็คือ 2.64% ! หรือถ้าระยะยาวตลาดหุ้นให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี ผลตอบแทนสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายของคุณจะเหลือ 7.36% ต่อปี หรือหายไปร้อยละ 26.4 เลยทีเดียว !!!

ทั้งนี้กองทุน RMF ที่มีค่าใช้จ่ายรวมต่ำสุด 2 อันดับแรกเป็นกองทุนดัชนี คือ CIMB-PRINCIPAL (FAM) SET100 กับ Krungsri SET100 RMF ครับ เฉลี่ยอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของกองบริหารทั่วไปอยู่ที่ 2.64% ผลต่างระหว่างต่ำสุดกับค่าเฉลี่ยคือ ทำให้คุณจ่ายด้วยต้นทุนที่น้อยกว่า 3.5 เท่าครับ

ลองมาดูผลตอบแทนกันบ้าง …

เนื่องจากอยากจะได้จำนวนกองมากพอสมควรในการทดลอง ซึ่งกว่าจะมีกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพประเภทที่ลงทุนหุ้นไทยครบ 20 กอง เราก็ต้องรอถึงปี 2551 ครับ แต่ใน 20 กองนี้เป็นกองดัชนี 3 กองคือ JB25RMF TMBSET50RMF และ KFS100RMF เราจึงมีกองทุนบริหารจำนวน 17 กองครับ

การวิจัยครั้งนี้ สมมติให้ลงทุนที่เงิน 10,000 บาท ณ ราคาหน่วยวันสุดท้ายของปี 2551 แล้วถือจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2015 ที่ผ่านมา (เกือบ 7 ปี) เราจะพบว่า

1. กองทุนบริหารทั้ง 17 กองทุนนั้น ถ้าคุณลงทุนซื้อทุกกองเท่าๆกันแล้วถือมา เงินของคุณจะโตเป็น 29,520 บาท

2. สมมติว่าคุณซื้อโดยดูผลตอบแทนย้อนหลังว่ากองไหนดีใน 17 กองบริหาร เนื่องจากคำนวณโดยใช้ราคาหน่วยสิ้นปี 2551 เราเลยดูผลตอบแทนปี 2551 ว่ากองไหนให้ผลตอบแทนดีสุด (เพราะคุณสามารถดูวันที่ 29 แล้วซื้อวันที่ 30 ธันวาคมได้) โดยซื้อเท่ากันทุกกอง เงินลงทุนของคุณจะโตเป็นจำนวนมูลค่าดังนี้

  • ถ้าซื้อกองที่ผลตอบแทนสูงสุดปี 51 = 19,129
  • กองที่ผลตอบแทนต่ำสุดปี 51 = 29,348
  • ซื้อ 2 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 22,972
  • 3 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 23,975
  • 5 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 26,579
  • 7 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 25,427
  • และถ้าซื้อ 10 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 27,509

3. ถ้าคุณลงทุนในกองทุนดัชนี จะได้ว่า กองทุน JB25RMF กลายเป็น 29,485 กอง TMBSET50RMF กลายเป็น 31,990 และ กอง KFS100RMF กลายเป็น 33,325 บาท (โดยกรุงศรีกองนี้ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวมต่ำสุด จะทำผลตอบแทนได้ชนะ 11 จาก 17 กองทุน หรือชนะ 65% ของกองทุน RMF หุ้นไทยไม่รวมกองดัชนีครับ) 

จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดนั้นหรือ กลับกลายเป็นว่า … ถ้าเราลงทุนด้วยการซื้อหุ้นทั้งตลาดหลักทรัพย์หรือซื้อทั้ง SET แล้วถือไว้ในช่วงเวลาดังกล่าว ผลตอบแทนทั้งหมดรวมเงินปันผลทบต้นของ SET จะทวีเงิน 10,000 กลายเป็น 37,869 !!!!!

ด้วยเหตุนี้ ผลตอบแทนรวมของ SET สูงกว่ากองทุนที่ได้ผลตอบแทนอันดับหนึ่งที่เงินโตมาเป็น 37,339 ด้วยซ้ำโอ้ว เกม Survivor ครั้งนี้ไม่มีผู้รอดชีวิตครับ ในช่วงเวลาที่ยกมาทำวิจัยทุกกองทุนไม่สามารถเป็น The Face Thailand ได้

ถ้าให้อ้างเหตุผล คือ อาจจะเพราะช่วงรอยต่อ 2551-2552 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ของอเมริกา และตลาดหุ้นไทยร่วงหนักเกือบ -50% กองทุนหุ้นส่วนใหญ่พยายามขายหุ้นทิ้งแล้วถือตราสารหนี้บางส่วน แต่พอปีถัดมาตลาดหุ้นทะยานมาก ๆ กองทุนไม่มีหุ้นเต็มมือเหมือนดัชนี อาจจะเพราะยังไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นกลับมาแล้วจริง ๆ การตัดสินใจช้านี้จึงมีต้นทุนสำคัญ ทำให้พอพอเวลาตลาดหุ้นเป็นกระทิง ก็จะส่งผลให้กองทุนพลาดผลตอบแทนตอนต้นของขาขึ้นรอบใหม่ครับ (ไว้ทำวิจัยให้ดู)

3. สรุปประเด็นความคิดเกี่ยวกับ RMF

(a) พอจะถือเป็นหลักได้แล้วว่าในระยะยาว Cost is Matter และวิธีทำนายผลตอบแทนกองทุนได้ง่ายที่สุด อาจจะดูได้จากอัตราค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดของกองทุนรวมว่า ยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสแพ้ตลาดหุ้นในอนาคตมากเท่านั้น

ทวนกันอีกครั้ง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจริง ๆ ของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่เป็น active funds นโยบายลงทุนในหุ้นไทยอยู่ที่ 2.64% ในระยะยาวถ้าตลาดหุ้นได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 10% คุณจะถูกหักผลตอบแทนไปถึงร้อยละ 26.4 เหลือแค่ 7.36% ถามว่ามากไหม ถ้าลงทุนเป็นระยะเวลา 30 ปี เงิน 10,000 ของคุณจะกลายเป็น 198,374 ถ้าได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่จะเหลือแค่ 90,364 ถ้าได้ผลตอบแทน 7.36%

คำถามว่าแล้วเงิน 100,000 บาทหรือ 10 เท่าของเงินต้นที่เราควรได้หายไปไหน คำตอบคือมันก็หายไปกับค่าใช้จ่ายกองทุนนั่นเอง ไอ้ค่าใช้จ่ายต่างกันเล็ก ๆ 1-2% นี่ล่ะ ระยะยาวมันทบต้นและส่งผลกระทบรุนแรงมาก

(b) หลักฐานจากงานวิจัยข้างบนน่าจะพอทำให้เห็นภาพได้ ถ้าคุณลงทุนใน SET ระหว่าง 2551-2558 (10 ธ.ค.) เงิน 10,000 จะกลายเป็น 37,869 ขณะที่ค่าเฉลี่ยของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพแบบบริหารจัดการทำได้ 29,520 หรือหายไป  22% (ไม่ใช่เงินน้อย ๆ นะครับ) วิธีที่ง่ายสุดจึงกลายเป็นว่า เลือกกองดัชนีที่ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด คุณก็จะยังได้เงิน 33,325 หรือหายไปแค่ 12% เท่านั้นเอง และงานวิจัยนี้ก็ให้ผลที่น่าตกใจอีกว่า กองที่ได้ 1 ก็ยังผลตอบแทนแพ้ SET ด้วย (-_-“)

(c) มีของแถมสำหรับวิจัยครั้งนี้ คือ ลองทำให้ดูครับว่า การเลือกกองทุนโดยดูผลตอบแทนล่าสุดของปีที่เริ่มต้น กลับให้ผลตอบแทนที่น้อยที่สุด (19,129) และไม่ว่าคุณจะซื้อกองทุนลำดับที่ 2, 3, 5, 7, 10 ที่มีผลตอบแทนสูงสุด คุณก็ยังได้ผลตอบแทนต่ำกว่าซื้อกองดัชนีเพียงกองเดียว และแพ้กระทั่งซื้อทุกกองเท่า ๆ กันด้วย (อันนี้ผมแปลกใจครับ ผลออกมาก็ทึ่งอยู่ เข้าใจว่า Timing หรือช่วงเวลาที่เลือกมานั้น ผลออกมาเป๊ะพอดี ไว้ต่อไปทำใหม่)

งานวิจัยสนับสนุนเพิ่มเติม

มีงานวิจัยทางวิชาการของไทยก็ให้ผลไปในทางเดียวกันว่า กลยุทธ์ที่ซื้อกองทุน RMF จากผลตอบแทนที่ดีในอดีตไม่อาจชี้วัดได้ว่ากองทุนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนดีในอนาคต และยังพบอีกว่า กองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้นไทยทำผลตอบแทนสุทธิ (net returns) โดยเฉลี่ยได้ต่ำกว่าผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์โดยห่างและทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นประมาณ 2% ต่อปี[1. ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์, “ผลตอบแทนและความต่อเนื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่มีนโยบายเชิงรุก,” วารสารบริหารธุรกิจ นิด้า 22 (พฤษภาคม 2561): 61.]

โดยผลตอบแทนของกองทุน RMF หุ้นไทยแบบ actively managed funds ช่วงปี 2002-2016 รวม 15 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุน RMF คือ 19.54% ส่วน SET TR ให้ผลตอบแทน 21.63% ต่อปี (ห่างกัน 2.09%) หากแต่เงิน 10,000 ในช่วงเวลาดังกล่าวจะกลายเป็น 145,556 หากลงทุนในกองทุนหุ้นไทย RMF แต่จะกลายเป็น 188,630 บาท ห่างกันประมาณ 43,000 บาท! หรือหายไปเกือบ 23%!!

4. บทสรุป RMF หุ้นไทย

จากบทความหลายอันประกอบกันไม่ว่าจะเป็น LTF กองไหนดี หรือ ดูผลตอบแทนย้อนหลังบอกอนาคตจริงหรือ หรือ 10ปีผ่านไปกองหุ้นไทยเทียบ SET รวมถึงบทความนี้น่าจะพอบอกเราได้แล้วว่า

1. ในระยะยาวกองทุนหุ้นทำผลตอบแทนได้แพ้ตลาดหุ้น เพราะประการที่หนึ่งพวกเขาไม่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่า หรือแม้จะเลือกหุ้นทำผลตอบแทนได้สูงกว่าแต่สุดท้ายผลตอบแทนสุทธิก็ยังต่ำกว่าตลาดหุ้นอยู่ดี เพราะว่า สิ่งที่ทำให้พวกเขาแพ้จริงๆคือ “ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนรวม” ที่สูงลิ่วต่างหาก

2. การลงทุนโดยดูผลตอบแทนย้อนหลังเป็นเรื่องที่เสียเวลามาก ๆ เพราะผลตอบแทนย้อนหลังไม่สามารถทำนายผลตอบแทนในอนาคตได้เลย การที่อุตสาหกรรมพยายามขายและโฆษณาเราด้วยผลตอบแทนร้อนแรงล่าสุด ทำให้เราติดอยู่ในวังวนไล่ล่ากองทุนหุ้นที่หนึ่งตลอดเวลา และกลับกลายเป็นว่า มันทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ต่ำลงในระยะยาวแทน

3. ทางออกคือ จากสถิติในระยะยาวนั้น เวลาที่ไกลออกไป 10, 20, 30 ปี แทบจะหาใครชนะตลาดหุ้นสม่ำเสมอค่อนข้างยากมาก วิธีที่จะใช้ลงทุนหุ้นได้ดีที่สุด ก็คือ “การลงทุนในกองทุนดัชนีหุ้นที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดนั่นเอง”

บทความแนะนำ:

(1) ทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผลตอบแทนหุ้นและตลาดหุ้น

(2) ปัญหาของการเลือกกองทุนจากผลตอบแทนย้อนหลัง


**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงแนวคิดส่วนตัวเกี่ยวกับวิธีการลงทุนของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาชักชวนให้ลงทุนตาม ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน เพราะการขาดทุนจะเกิดขึ้นกับเงินของนักลงทุนเอง