คลังเก็บหมวดหมู่: Funds

เจาะลึก RMF หุ้นไทย ใครแพ้?

    RMF (Retirement Mutual Fund) หรือชื่อไทยก็คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ วัตถุประสงค์ของมันคือเกิดมาเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับเป็นทุนไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ รัฐเลยจูงใจด้วยการให้สิทธิที่จะนำเอาเงินซื้อกองทุนชนิดนี้มาลดหย่อนภาษีได้ โดยมีข้อบังคับสำคัญคือ คุณจะต้องถือมันยาวจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์จึงจะขายได้ ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ด้วยข้อบังคับที่ทำให้เราต้องถือมันไว้นานมาก ไม่สามารถขายได้ (จริงๆขายก่อนได้แต่เคลียร์กับสรรพากรเอง ฮ่าๆ) โดยปกติถ้าคุณลงทุนไวเช่นตั้งแต่อายุ 25 คุณจะมีเวลาถือมันถึง 30 ปี และเวลาที่นานขนาดนี้ ไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะทำให้เงินคุณโตได้มากเท่าหุ้นอีกแล้ว และหุ้นที่ถือนานสามสิบปีแทบไม่มีทางที่ผลตอบแทนจะติดลบเลย ดังนั้น คนอายุน้อยโปรดลงทุนในหุ้นเถิดจะเกิดผล

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับกอง RMF ที่ลงทุนในหุ้น คือ พอต้องลงทุนยาวมากๆ คนส่วนใหญ่ลงทุนแล้วก็ไม่ค่อยได้ยุ่งกับมัน ซึ่งส่วนใหญ่ที่ซื้อกันมักจะเป็นกองทุนแบบบริหารคัดเลือกหุ้น (Actively Managed-funds) สิ่งที่สังเกตเห็นคือRMF หุ้นมักจะมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่อปีที่สูงมากกว่ากองหุ้นทั่วไป วันนี้ได้โอกาสผมเลยลองดึงข้อมูลมาดู พบว่า

1) กอง RMF หุ้นกองแรกจดทะเบียนขึ้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2544 แล้วก็ค่อยๆทยอยออกกันมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีกองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้นประมาณ 30 กว่ากองทุน ในนี้เป็นกองทุนดัชนี (Index Funds) จำนวน 6 กองทุน ที่เหลือเป็นกองทุนแบบบริหารคัดเลือกหุ้น

2) ผมได้ทำการค้นค่าใช้จ่ายกองทุนรวมรายกอง โดยค่าใช้จ่ายที่ว่านี้จะประกอบด้วย
– ค่าใช้จ่ายรวม Total Expense Ratio (TER) ได้แก่ ค่าบริหารจัดการ ค่านายทะเบียน ฯลฯ
– ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือ ค่า Commission ที่กองทุนเสียเวลาซื้อขายหุ้น
ผมขออนุญาตเรียกรวมกันว่า Real Expense โดยค่าใช้จ่าย TER จะถูกเก็บเป็นรายวันหักออกจากกองทุน ส่วนค่าคอมมิชชั่นนั้นยิ่งกองทุนซื้อขายเปลี่ยนหุ้นบ่อยเท่าไหร่ก็จะยิ่งเสียค่าใช้จ่ายตรงนี้เยอะเท่านั้น ซึ่งกองทุนไหนที่เก็บ TER แพงแล้วยังเทรดหุ้นซื้อขายบ่อยอีก ไอ้ส่วนที่จ่ายออกไปนี้จริงๆแล้วคือผลตอบแทนของนักลงทุนผู้ซื้อกองทุนทั้งนั้นครับ เช่น ถ้ากองทุนทำผลตอบแทนทั้งปีได้ 10% แต่เก็บค่าใช้จ่ายรวมที่ 2% ต่อปีและเสียค่าคอมอีก 1% ต่อปี ผลตอบแทนที่จะได้ก็จะเหลือมาถึงมือนักลงทุนแค่ 7% เท่านั้น ผลตอบแทนที่หายไปคือ 30% !!!!

ผลการวิจัย พบว่า กองทุน RMF หุ้นไทยทั้งหมดนั้นเก็บ TER เฉลี่ยที่ 1.75% ต่อปี และจ่ายค่าคอมอีกประมาณ 0.57% รวมแล้วคือ 2.32% ซึ่งถือว่าสูงเลยทีเดียว แต่ทว่า ! ถ้าหากตัดกองทุน RMF หุ้นที่เป็นกองทุนดัชนีทิ้ง เราจะพบว่ากองทุนบริหาร Active-RMF คิดค่าใช้จ่ายรวมต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 1.95% ต่อปีและเสียค่าคอมอีก 0.69% แล้วที่เหลือจึงจะเป็นผลตอบแทนมาถึงนักลงทุน

เพราะฉะนั้น เบ็ดเสร็จแล้วค่าใช้จ่ายทั้งหมดจริงๆของ Active-RMF(หุ้นไทย) โดยเฉลี่ยก็คือ 2.64% ! หรือถ้าระยะยาวตลาดหุ้นให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี ผลตอบแทนสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายของคุณจะเหลือ 7.36% ต่อปีหรือ หายไปร้อยละ 26.4 เลยทีเดียว !!!

ทั้งนี้กองที่มีค่าใช้จ่ายรวมต่ำสุด 2 อันดับแรกตกเป็นของ CIMB-PRINCIPAL SET100 กับ Krungsri SET100RMF ครับ เฉลี่ยอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของกองบริหารทั่วไปอยู่ที่ 2.64% ผลต่างระหว่างต่ำสุดกับค่าเฉลี่ยคือ ทำให้คุณจ่ายด้วยต้นทุนที่น้อยกว่า 3.5 เท่าครับ

ลองมาดูผลตอบแทนกันบ้าง…

เนื่องจากอยากจะได้จำนวนกองมากพอสมควร กว่าจะมีกองทุน RMF หุ้นไทยครบ 20 กอง เราก็ต้องรอถึงปี 2551 ครับ แต่ใน 20 กองนี้เป็นกองดัชนี 3 กองคือ จัมโบ้25RMF ทหารไทยSET50RMF กับ กรุงศรีSET100RMF เราจึงมีกองทุนบริหารจำนวน 17 กองครับ

การวิจัยครั้งนี้ สมมติให้ลงทุนที่เงิน 10,000 บาท ณ ราคาหน่วยวันสุดท้ายของปี 2551 แล้วถือจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2015 ที่ผ่านมา (เกือบ 7 ปี) เราจะพบว่า

1. กองทุนบริหารทั้ง 17 กองทุนนั้น ถ้าคุณลงทุนซื้อทุกกองเท่าๆกันแล้วถือมา เงินของคุณจะโตเป็น 29,520 บาท

2. สมมติว่าคุณซื้อโดยดูผลตอบแทนย้อนหลังว่ากองไหนดีใน 17 กองบริหาร เนื่องจากคำนวณโดยใช้ราคาหน่วยสิ้นปี 2551 เราเลยดูผลตอบแทนปี 2551 ว่ากองไหนให้ผลตอบแทนดีสุด (เพราะคุณสามารถดูวันที่ 29 แล้วซื้อวันที่ 30 ธันวาคมได้) โดยซื้อเท่ากันทุกกอง จะได้เงินโตเป็นจำนวนดังนี้
ถ้าซื้อกองที่ผลตอบแทนสูงสุดปี51 = 19,129
-ถ้าซื้อกองที่ผลตอบแทนต่ำสุดปี51 = 29,348
-ถ้าซื้อ 2 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 22,972
-ถ้าซื้อ 3 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 23,975
-ถ้าซื้อ 5 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 26,579
-ถ้าซื้อ 7 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 25,427
-ถ้าซื้อ 10 กองแรกที่ผลตอบแทนสูงสุด = 27,509

3. ถ้าคุณลงทุนในกองทุนดัชนี จะได้ว่า
กองจัมโบ้25RMF กลายเป็น 29,485
กองทหารไทยSET50RMF กลายเป็น 31,990 และ
กองกรุงศรีSET100RMF กลายเป็น 33,325 บาท (โดยกรุงศรีกองนี้ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวมต่ำสุดจะชนะ 11 จาก 17 กองทุน หรือชนะ 65% ของกองทุน RMF หุ้นไทยไม่รวมกองดัชนีครับ) 

จริงๆแล้ว สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดนั้นหรือ กลับกลายเป็นว่า … ถ้าเราลงทุนด้วยการซื้อหุ้นทั้งตลาดหลักทรัพย์หรือซื้อทั้ง SET แล้วถือไว้ในช่วงเวลาดังกล่าว ผลตอบแทนทั้งหมดรวมเงินปันผลทบต้นของ SET จะทวีเงิน 10,000 กลายเป็น 37,869 !!!!!

ซึ่งผลตอบแทนของ SET สูงกว่ากองทุนที่ได้ผลตอบแทนอันดับหนึ่งที่เงินโตมาเป็น 37,339 ด้วยซ้ำโอ้ว เกม Survivor ครั้งนี้ไม่มีผู้รอดชีวิตครับ ในช่วงเวลาที่ยกมาทำวิจัยทุกกองไม่สามารถเป็น The Face Thailand ได้ ถ้าให้อ้างเหตุผล คือ อาจจะเพราะช่วงรอยต่อ 2551-2552 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ของอเมริกา และตลาดหุ้นไทยร่วงหนักเกือบ -50% กองทุนหุ้นส่วนใหญ่พยายามขายหุ้นทิ้งแล้วถือตราสารหนี้บางส่วน แต่พอปีถัดมาตลาดหุ้นทะยานมากๆ กองทุนไม่มีหุ้นเต็มมือแบบดัชนี อาจจะเพราะยังไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นกลับมาแล้วจริงๆ การตัดสินใจช้านี้มีต้นทุนสำคัญ ทำให้พอพอเวลาหุ้นเป็นกระทิงก็จะพลาดผลตอบแทนตอนต้นของขาขึ้นรอบใหม่ครับ (ไว้ทำวิจัยให้ดู)

สรุปประเด็นทางความคิด

(a) พอจะถือเป็นหลักได้แล้วว่าในระยะยาว Cost is Matter ; วิธีทำนายผลตอบแทนกองทุนได้ง่ายที่สุด อาจจะดูได้จากอัตราค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดของกองทุนรวม ว่ายิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสแพ้ตลาดหุ้นในอนาคตมากเท่านั้น ทวนกันอีกครั้ง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจริงๆของกองทุนบริหาร RMF หุ้นไทยอยู่ที่ 2.64% ในระยะยาวถ้าตลาดหุ้นได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 10% คุณจะถูกหักผลตอบแทนไปถึงร้อยละ 26.4 เหลือแค่ 7.36% ถามว่ามากไหม ถ้าคนเราลงทุน RMF  30 ปี เงิน 10,000 ของคุณจะกลายเป็น 198,374 ถ้าได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่จะเหลือแค่ 90,364 ถ้าได้ผลตอบแทน 7.36% คำถามว่าแล้วเงิน 100,000 บาทหรือ 10 เท่าของเงินต้นที่เราควรได้หายไปไหน คำตอบคือมันก็หายไปกับค่าใช้จ่ายกองทุนนั่นเอง ไอ้ค่าใช้จ่ายต่างกันเล็กๆ 1-2% นี่ล่ะ ระยะยาวมันทบต้นและส่งผลกระทบรุนแรงมาก

(b) หลักฐานจากงานวิจัยข้างบนน่าจะพอทำให้เห็นภาพได้ ถ้าคุณลงทุนใน SET ระหว่าง 2551-2558(10ธ.ค.) เงิน 10,000 จะกลายเป็น 37,869 ขณะที่ค่าเฉลี่ยของกองทุนบริหารทำได้ 29,520 หรือหายไป  22% (ไม่ใช่เงินน้อยๆนะครับ) วิธีที่ง่ายสุดเลือกกองดัชนีที่ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดคุณก็จะยังได้เงิน 33,325 หรือหายไปแค่ 12% เท่านั้น และงานวิจัยนี้ก็ให้ผลที่น่าตกใจอีกว่า กองที่ได้ 1 ก็ยังผลตอบแทนแพ้ SET ด้วย (-_-“)

(c) มีของแถมสำหรับวิจัยครั้งนี้คือ ลองทำให้ดูครับว่า การเลือกกองทุนโดยดูผลตอบแทนล่าสุดของปีที่เริ่มต้น กลับให้ผลตอบแทนที่น้อยที่สุด (19,129) และไม่ว่าคุณจะซื้อ 2,3,5,7,10 กองแรกที่มีผลตอบแทนสูงสุด คุณก็ยังได้ต่ำกว่าซื้อกองดัชนีเพียงกองเดียว และแพ้กระทั่งซื้อทุกกองเท่าๆกันด้วย (อันนี้ผมแปลกใจครับ ผลออกมาก็ทึ่งอยู่ เข้าใจว่า Timing หรือช่วงเวลาที่เลือกมานั้น ผลออกมาเป๊ะพอดี ไว้ปีหน้าทำใหม่)


จากบทความหลายอันประกอบกันไม่ว่าจะเป็น แอลทีเอฟกองไหนดี, ดูผลตอบแทนย้อนหลังบอกอนาคตจริงหรือ, 10ปีผ่านไปกองหุ้นไทยเทียบSET รวมถึงบทความนี้น่าจะพอบอกเราได้แล้วว่า

1. ในระยะยาวกองทุนหุ้นทำผลตอบแทนได้แพ้ตลาดหุ้น เพราะหนึ่งพวกเขาไม่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่า หรือแม้จะเลือกหุ้นทำผลตอบแทนได้สูงกว่าแต่สุดท้ายผลตอบแทนสุทธิก็ยังต่ำกว่าตลาดหุ้นอยู่ดี เพราะ สิ่งที่ทำให้พวกเขาแพ้จริงๆคือ “ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนรวม” ที่สูงลิ่วต่างหาก

2. การลงทุนโดยดูผลตอบแทนย้อนหลังเป็นเรื่องที่เสียเวลามากๆ เพราะผลตอบแทนย้อนหลังไม่สามารถทำนายผลตอบแทนในอนาคตได้เลย การที่อุตสาหกรรมพยายามขายและโฆษณาเราด้วยผลตอบแทนร้อนแรงล่าสุดทำให้เราติดอยู่ในวังวนไล่ล่ากองทุนหุ้นที่หนึ่งตลอดเวลา กลับกลายเป็นว่าส่วนใหญ่มันทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ต่ำในระยะยาวแทน

3. ทางออกคือ จากสถิติในระยะยาวนั้น เวลาที่ไกลออกไป 10,20,30 ปี แทบจะหาใครชนะตลาดหุ้นยากสม่ำเสมอค่อนข้างยากมาก วิธีที่จะใช้ลงทุนหุ้นได้ดีที่สุด ก็คือ “ลงทุนในกองทุนดัชนีหุ้นที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดนั่นเอง”

 


**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงแนวคิดส่วนตัวเกี่ยวกับวิธีการลงทุนของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาชักชวนให้ลงทุนตาม ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน เพราะการขาดทุนจะเกิดขึ้นกับเงินของนักลงทุนเอง

 

กองหุ้น ผลตอบแทนเทียบ SET TRI (2549-2558)

ในระยะยาวแล้วค่อนข้างยากที่จะหา กองหุ้น หรือกองทุนหุ้นกองไหนสามารถชนะตลาดหุ้นได้ ซึ่งประเด็นนี้ในต่างประเทศค่อนข้างมีบทวิจัยและบทความแพร่หลายกอง แต่ในไทยผมพบว่า ไม่ค่อยจะมีใครทำ แถมหลายคนก็บอกว่า ตลาดหุ้นบ้านเรานั้น กองทุนแบบบริหารเลือกหุ้น (Actively Managed Funds) น่าจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่า เพราะตลาดหุ้นไทยยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ

หากแต่ส่วนตัวผมกลับเชื่อว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังพัฒนาไปสู่ยุคที่การจะหาผลตอบแทนส่วนเกิน (Alpha Return) จากตลาดหุ้นจะทำได้ยากขึ้นมาก ลองดูกรณีข้างล่างนี้ก็ได้ครับ

Investment Managers are not beating the market; the market is beating them.” — Charles D. Ellis[1. Charles D. Ellis, Winning the Loser’s Game: Timeless Strategies for Successful Investing, 6th ed. (New York: McGraw-Hill, 2013), 1.]

อย่างที่ Ellis บอกครับ ในระยะยาวแล้วผู้จัดการกองทุนไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้น แทนที่ชนะกลับกลายเป็นว่าพวกเขาแพ้ตลาดหุ้นซะเอง

ผมได้ทำการเลือกกองหุ้นเรียงตามผลตอบแทนย้อนหลังสูงสุด 2 ช่วงเวลา คือ 5 ปีย้อนหลัง กับ 10 ปีย้อนหลังจาก Morningstar Thailand (ใช้ข้อมูล ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2558) เลือกกลุ่ม Thai Equity Large-Cap กับ Mid-Small Cap โดยกองทุนเหล่านี้จะประกอบด้วยกองทุนหุ้นทั้งหมด (รวม LTF-RMF ด้วย) แต่จะตัดกองทุนประเภทลงทุนหุ้น 70-75% และตัดกองทุนดัชนีทิ้งด้วย เพื่อหาว่าจริง ๆ แล้วค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของกองทุนหุ้นไทยแบบบริหารทำได้เท่าไหร่กันแน่

โดยตัวตัดเชือกก็คือ ผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index Total Return : SET TR) ซึ่งตัวชี้วัดนี้กำลังบอกว่า ถ้าเราลงทุนด้วยการซื้อหุ้นทั้งตลาดถือไว้ กับการสุ่มลงทุนในกองหุ้นที่เคลมตัวเองว่า สามารถคัดเลือกหุ้นชนะตลาดหุ้นได้ จริง ๆ แล้วพวกมันชนะได้จริงหรอ? หรือเรากำลังจ่ายค่าธรรมเนียมแพง ๆ ไม่รู้ตัวโดยที่ไม่ได้ประโยชน์ส่วนเพิ่มอะไรขึ้นมา

Case 1 : วัดผลการดำเนินงานย้อนหลัง 10 ปี

กรณีนี้เราจะพบว่า จำนวนกองทุนหุ้นแบบคัดเลือกหุ้น (Active Funds) รวมทั้งสิ้น 120 กองทุน ทำผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 9.98% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นของ SET TR อยู่ที่ 10.79% ต่อปี (ห่างกัน 0.81% ต่อปี หรือกองทุนเหล่านี้เฉลี่ยแล้วทำผลตอบแทนได้แค่ 92.5% ของตลาดหุ้น) ถ้าคุณลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาทเมื่อ 10 ปีที่แล้วใน SET TRI คุณจะมีเงินทั้งสิ้นตอนนี้ที่ 29,276 บาท แต่กองทุนรวมโดยเฉลี่ยจะทำเงินให้คุณที่ 27,017 บาท หายไปประมาณ 2,200 บาท หรือเกือบ 10%

อีกอย่างที่น่าสังเกตคือ น 120 กองทุนนี้มีแค่ 43 กองทุนเท่านั้นที่ทำผลตอบแทนได้สูงกว่า SET TR หรือคิดเป็นจำนวนเพียง  35.83% เท่านั้น หมายความว่ากองทุนอีก 77 กองหรือ 65% ทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าตลาดหุ้นครับ

Case 2 : วัดผลการดำเนินงาน กองหุ้น ย้อนหลัง 5 ปี

กรณีนี้ล่ะครับที่ค่อนข้างยืนยันความคิดผมว่า ตลาดหุ้นไทยไม่หมูอีกแล้ว เพราะ 5 ปีย้อนหลังคือช่วง 2011-2015 ซึ่งถือว่ามีผู้เล่นในตลาดหุ้นจำพวกนักลงทุนสถาบันค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะในไทยเองหรือมาจากต่างประเทศ ทำให้ตลาดหุ้นเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลคือรอบนี้มี Active Funds ให้ตัดเชือกรวม 154 กองทุนครับ ในขณะที่ SET TR ทำผลตอบแทนย้อนหลังได้ 8.37% ต่อปี

เหล่าผู้ท้าชิงของเรา กองหุ้นแบบบริหารจัดการโดยเฉลี่ยทำผลตอบแทนทบต้นย้อนหลังได้เพียง 6.78% หรือทำได้แค่ 81% ของผลตอบแทนที่ตลาดหุ้นทำได้ และมีจำนวนเพียง 50 กองเท่านั้นที่ชนะ SET TR พูดอีกแบบก็คือ กองหุ้นเกือบ 70% ทำผลตอบแทนได้แย่กว่าตลาดหุ้น

Case 3 : ถ้าเลือกลงทุนกองทุนดัชนีแทนกองทุนบริหาร

ผมใช้กองทุนทหารไทย SET50 เป็นตัวแทน เพราะตั้งมานานสุด (2544) เราจะพบว่า กองทุนทำผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีได้เฉลี่ย 9.34% ต่อปี และ 5 ปีเฉลี่ย 6.13% ต่อปี ซึ่งถ้าเอามาเทียบตำแหน่งผลตอบแทนแล้วจะพบว่า

ช่วงระยะเวลา 10 ปีนั้น จำนวน 120 กองทุน มีเพียง 42 กองทุนที่แพ้ทหารไทย SET50 หรือพูดอีกแบบว่า กองทุน TMB50 มันทำผลตอบแทนชนะแค่ 35% ของกองทุนทั้งหมด (ซึ่งต่างจาก SET TRI ที่ชนะถึง 65%)

ส่วนช่วง 5 ปีย้อนหลัง กองทุนทหารไทย SET50 ชนะ 57 จาก 154 กองทุน หรือชนะกองทุนประมาณ 40% (ในขณะที่ SET TRI ชนะกองทุนเกือบ 70%)

บทสรุป

กองหุ้น ส่วนใหญ่ในบ้านเราในแต่ละช่วงเวลา เฉลี่ยแล้ว 60-70% จะแพ้ผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นครับ (สอดคล้องกับบทวิจัยก่อนหน้าของผมที่ว่า กองทุน LTF ส่วนใหญ่แพ้ตลาดหุ้น) จึงมีโอกาสค่อนข้างน้อยที่ในระยะยาวนั้นกองทุนแบบบริหารจัดการคัดเลือกหุ้น (actively managed funds) ทั้งหลายจะทำผลตอบแทนได้สูงพอจะชนะตลาดหุ้น

ถ้าหากคุณคาดหวังแบบชนะตลาดหุ้น 2% ต่อปี ผมจะบอกให้ว่า ในช่วงเวลา 10 ปี มีแค่ 6 จาก 120 กองทุน และในช่วง 5 ปีย้อนหลัง มีแค่ 17 จาก 154 หรือพูดกว้าง ๆ ได้ว่า จะหากองทุนที่ชนะตลาดหุ้นระยะยาวแบบได้ส่วนเกิน +2% ต่อปี คุณต้องงมกองทุนด้วยโอกาสความน่าจะเป็นเพียง 5-10% ให้ได้ และความยากอยู่ที่

(1) คุณต้องรู้ว่าอีก 5, 10, 20, 30 ปีข้างหน้าใครจะผลตอบแทนอยู่ลำดับแรก

(2) คุณรู้ผู้ชนะไม่พอ คุณต้องถือผู้ชนะนั้นตลอด 5, 10, 20, 30 ปีด้วย

(3) มันยากตั้งแต่หาข้อ 1 แล้วครับ เพราะผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถบอกผลตอบแทนในอนาคตได้ (โปรดดูตัวอย่างจากกอง LTF >Click)

ลองเดาดูก็ได้ครับว่าใครจะเป็นที่ 1 ในอีก 20, 30 ปีข้างหน้า โดยดูผลตอบแทนย้อนหลังตอนนี้ ซึ่งสีฟ้าที่เน้นไว้คือจะให้เห็นว่ามีโอกาสต่ำกว่าครึ่งที่คุณปาเป้าที่ 1-10 แล้วมันจะไม่อยู่ในช่วงเวลาถัดไป

11111

ซึ่งถ้าคุณคิดว่าเดาไม่ถูกแน่ ๆ อันนี้ถือว่าคุณได้เริ่มต้นเห็นทางสว่างแล้วครับ เพราะในต่างประเทศนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะลงทุนหุ้นระยะยาวก็คือ

ลงทุนใน “กองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด” 

ซึ่งปัญหามันก็อยู่ที่ตรงนี้ครับ บ้านเรานั้นเก็บค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมกองทุนดัชนีค่อนข้างแพงมาก (เก็บกันที่ 0.6-0.9% ต่อปีเลยทีเดียว) ทำให้กองทุนพวกนี้ไม่โชว์ผลตอบแทนที่เห็นชัดเจนว่า ในระยะยาวกองทุนดัชนีชนะกองทุนบริหารได้เกือบ 70-80%

ขอจบบทความนี้ด้วยคำกล่าวสำคัญของ Warren Buffett ในรายงานประจำปี 1996 ที่ว่า

“Let me add a few thoughts about your own investments.  Most investors, both institutional and individual, will find that the best way to own common stocks is through an index fund that charges minimal fees. Those following this path are sure to beat the net results (after fees and expenses) delivered by the great majority of investment professionals.”

ก็อย่างที่บัฟเฟตต์ว่าครับ “วิธีที่ดีที่สุดที่ (คนส่วนใหญ่) จะลงทุนในหุ้นสามัญก็คือ ลงทุนในกองทุนดัชนีที่คิดใช้จ่ายต่ำที่สุด” ในระยะยาวนั้นผลตอบแทนสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายของคุณจะดีกว่านักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น ถ้าไม่เชื่อลองดูข้างบนก็ได้ครับว่า ในระยะยาวนั้นมีกองทุนจำนวนน้อยนิดที่จะชนะตลาดหุ้นได้จริง ๆ

บทความอื่นที่แนะนำ

(1) ทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผลตอบแทนหุ้นและตลาดหุ้น

(2) ความเสียเวลาในการนั่งดูผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน

(3) กองทุนดัชนี (index funds) คืออะไร?


** บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงแนวคิดส่วนตัวเกี่ยวกับวิธีการลงทุนของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาชักชวนให้ลงทุนตาม ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

10 ปีผ่านไป กองหุ้นไทยเทียบ SET TRI

“Investment Managers (Mutual Funds) are not beating the market; the market is beating them. ” — Charles D. Ellis

อย่างที่ Mr. Ellis บอกครับ ในระยะยาวแล้วค่อนข้างยากที่จะหากองทุนหุ้นกองไหนสามารถชนะตลาดหุ้นได้ ประเด็นนี้ในต่างประเทศค่อนข้างมีบทวิจัยและบทความแพร่หลาย แต่ในไทยผมพบว่าไม่ค่อยจะมีใครทำ หลายคนก็บอกว่าตลาดหุ้นบ้านเรา กองทุนแบบบริหารเลือกหุ้น (Active Funds) น่าจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าเพราะตลาดหุ้นไทยยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ แต่ส่วนตัวผมกลับเชื่อว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังพัฒนาไปสู่ยุคที่การจะหาผลตอบแทนส่วนเกิน (Alpha Return) จากตลาดหุ้นจะทำได้ยากขึ้นมาก ลองดูกรณีข้างล่างนี้ก็ได้ครับ

ผมได้ทำการเลือกกองทุนหุ้นเรียงตามผลตอบแทนย้อนหลังสูงสุด 2 ช่วงเวลาคือ 5 ปีย้อนหลังกับ 10 ปีย้อนหลังจาก Morningstar Thailand (ใช้ข้อมูล ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2558) เลือกกลุ่ม Thai Equity Large-Cap กับ Mid-Small Cap โดยกองทุนเหล่านี้จะประกอบด้วยกองทุนหุ้นทั้งหมด (รวม LTF-RMF ด้วย) แต่จะตัดกองทุนประเภทลงทุนหุ้น 70-75% และตัดกองทุนดัชนีทิ้งด้วย เพื่อหาว่าจริงๆแล้วค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของกองทุนหุ้นไทยแบบบริหารทำได้เท่าไหร่กันแน่ โดยตัวตัดเชือกก็คือผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index Total Return : SET TR) ซึ่งตัวชี้วัดนี้กำลังบอกว่า ถ้าเราลงทุนด้วยการซื้อหุ้นทั้งตลาดถือไว้ กับการสุ่มลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่เคลมตัวเองว่าสามารถคัดเลือกหุ้นชนะตลาดหุ้นได้ ว่าจริงๆแล้วมันชนะได้จริง? หรือเรากำลังจ่ายค่าธรรมเนียมแพงๆไม่รู้ตัว

Case 1 : วัดผลการดำเนินงานย้อนหลัง 10 ปี

กรณีนี้เราจะพบว่าจำนวนกองทุนหุ้นแบบคัดเลือกหุ้น (Active Funds) รวมทั้งสิ้น 120 กองทุน ทำผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 9.98% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นของ SET TR อยู่ที่ 10.79% ต่อปี (ห่างกัน 0.81% ต่อปี หรือ กองทุนเหล่านี้เฉลี่ยแล้วทำผลตอบแทนได้แค่ 92.5% ของตลาดหุ้น) ถ้าคุณลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาทเมื่อ 10 ปีที่แล้วใน SET TRI คุณจะมีเงินทั้งสิ้นตอนนี้ที่ 29,276 บาท แต่กองทุนรวมโดยเฉลี่ยจะทำเงินให้คุณที่ 27,017 บาท หายไปประมาณ 2,200 บาท หรือเกือบ 10%

อีกอย่างที่น่าสังเกตคือ ใน 120 กองทุนนี้มีแค่ 43 กองทุนเท่านั้นที่ทำผลตอบแทนได้สูงกว่า SET TR หรือคิดเป็นจำนวนเพียง  35.83% เท่านั้น หมายความว่ากองทุนอีก 77 กองหรือ 65% ทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าตลาดหุ้นครับ

Case 2 : วัดผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี

กรณีนี้ล่ะครับที่ค่อนข้างยืนยันความคิดผมว่า ตลาดหุ้นไทยไม่หมูอีกแล้ว เพราะ 5 ปีย้อนหลังคือช่วง 2011-2015 ซึ่งถือว่ามีผู้เล่นในตลาดหุ้นจำพวกนักลงทุนสถาบันค่อนข้างมากไม่ว่าจะในไทยเองหรือมาจากต่างประเทศ ทำให้ตลาดหุ้นเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลคือรอบนี้มี Active Funds ให้ตัดเชือกรวม 154 กองทุนครับ ในขณะที่ SET TR ทำผลตอบแทนย้อนหลังได้ 8.37% ต่อปี เหล่าผู้ท้าชิงของเรา กองทุนหุ้นแบบบริหารโดยเฉลี่ยทำผลตอบแทนทบต้นย้อนหลังได้เพียง 6.78% หรือทำได้แค่ 81% ของผลตอบแทนที่ตลาดหุ้นทำได้ และมีจำนวนเพียง 50 กองเท่านั้นที่ชนะ SET TR พูดอีกแบบก็คือ กองทุนหุ้นเกือบ 70% ทำผลตอบแทนได้แย่กว่าตลาดหุ้น

Case 3 : ถ้าเลือกลงทุนกองทุนดัชนีแทนกองทุนบริหาร

ผมใช้กองทุนทหารไทย SET50 เป็นตัวแทน เพราะตั้งมานานสุด (2544) เราจะพบว่ากองทุนทำผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีได้เฉลี่ย 9.34% ต่อปี และ 5 ปีเฉลี่ย 6.13% ต่อปี ซึ่งถ้าเอามาเทียบตำแหน่งผลตอบแทนแล้วจะพบว่า

ช่วงระยะเวลา 10 ปีนั้น จำนวน 120 กองทุน มีเพียง 42 กองทุนที่แพ้ทหารไทย SET50 หรือตัวมันชนะแค่ 35% ของกองทุนทั้งหมด (ซึ่งต่างจาก SET TRI ที่ชนะถึง 65%)

ส่วนช่วง 5 ปีย้อนหลัง กองทุนทหารไทย SET50 ชนะ 57 จาก 154 กองทุน หรือชนะกองทุนประมาณ 40% (ในขณะที่ SET TRI ชนะกองทุนเกือบ 70%)

บทสรุป

กองทุนหุ้นส่วนใหญ่ในบ้านเราในแต่ละช่วงเวลา เฉลี่ยแล้ว 60-70% จะแพ้ผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นครับ (สอดคล้องกับบทวิจัยก่อนหน้าของผมที่ว่า กองทุนแอลทีเอฟส่วนใหญ่แพ้ตลาดหุ้น)

จึงมีโอกาสค่อนข้างน้อยที่ในระยะยาวนั้นกองทุนทั้งหลายจะทำผลตอบแทนได้สูงพอจะชนะตลาดหุ้น และถ้าคุณคาดหวังแบบชนะตลาดหุ้น 2% ต่อปี ผมจะบอกให้ว่า ในช่วงเวลา 10 ปีมีแค่ 6 จาก 120 กองทุน และในช่วง 5 ปีย้อนหลังมีแค่ 17 จาก 154 หรือพูดกว้างๆได้ว่าจะหากองทุนที่ชนะตลาดหุ้นระยะยาวแบบ +2% ต่อปี คุณต้องงมกองทุนด้วยโอกาสความน่าจะเป็นเพียง 5-10% ให้ได้ ความยากอยู่ที่

  1. คุณต้องรู้ว่าอีก 5, 10, 20, 30 ปีข้างหน้าใครจะผลตอบแทนอยู่ลำดับแรก
  2. คุณรู้ผู้ชนะไม่พอ คุณต้องถือผู้ชนะนั้นตลอด 5, 10, 20, 30 ปีด้วย
  3. มันยากตั้งแต่หาข้อ 1 แล้วครับ เพราะผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถบอกผลตอบแทนในอนาคตได้ (โปรดดูตัวอย่างจากกองแอลทีเอฟ Click)
  4. ลองเดาดูก็ได้ครับว่าใครจะเป็นที่ 1 ในอีก 20, 30 ปีข้างหน้า โดยดูผลตอบแทนย้อนหลังตอนนี้ (สีฟ้าที่เน้นไว้คือจะให้เห็นว่ามีโอกาสต่ำกว่าครึ่งที่คุณปาเป้าที่ 1-10 แล้วมันจะไม่อยู่ในช่วงเวลาถัดไป)

11111

ซึ่งถ้าคุณคิดว่าเดาไม่ถูกแน่ๆ อันนี้คือได้เห็นทางสว่างแล้วครับ ^_^ เพราะในต่างประเทศนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะลงทุนหุ้นระยะยาวก็คือ

ลงทุนใน “กองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด” 

ซึ่งปัญหามันก็อยู่ที่ตรงนี้ครับ บ้านเรานั้นเก็บค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมกองทุนดัชนีค่อนข้างแพงมาก (เก็บกันที่ 0.6-0.9% ต่อปีเลยทีเดียว) ทำให้กองทุนพวกนี้ไม่โชว์ผลตอบแทนที่เห็นชัดเจนว่า ในระยะยาวกองทุนดัชนีชนะกองทุนบริหารได้เกือบ 70-80% แต่ถือว่ามีบลจ.ที่มีกองทุนดัชนีที่เก็บค่าใช้จ่ายต่ำสุดตอนนี้ก็คือ SCBSET50 ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งเก็บปีละ 0.40-0.5% ต่อปี (ดูจากหนังสือชี้ชวนและรายงานประจำปีล่าสุด) อันนี้คือเก็บต่ำสุดในอุตสาหกรรมกองทุนรวม ณ ตอนนี้แล้วครับ ใครที่สนใจลงทุนกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำๆ ตอนนี้ต่ำสุดก็คือตัวนี้ครับผม ถ้ามีตัวไหนต่ำกว่าผมก็จะเขียนถึงตัวนั้นต่อไป อันนี้ไม่ได้โฆษณาให้บลจ.ไทยพาณิชย์นะครับ ผมถือตามคำพูดสำคัญของ Warren Buffett ที่ว่า

“Let me add a few thoughts about your own investments.  Most investors, both institutional and individual, will find that the best way to own common stocks is through an index fund that charges minimal fees. Those following this path are sure to beat the net results (after fees and expenses) delivered by the great majority of investment professionals.”

ก็อย่างที่บัฟเฟตต์ว่าครับ “วิธีที่ดีที่สุดที่(คนส่วนใหญ่)จะลงทุนในหุ้นสามัญก็คือ ลงทุนในกองทุนดัชนีที่คิดใช้จ่ายต่ำที่สุด” ในระยะยาวนั้นผลตอบแทนสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายของคุณจะดีกว่านักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น ถ้าไม่เชื่อลองดูข้างบนก็ได้ครับ ว่าในระยะยาวๆมีกองทุนจำนวนน้อยนิดที่จะชนะตลาดหุ้นได้จริงๆ

 


** บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงแนวคิดส่วนตัวเกี่ยวกับวิธีการลงทุนของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาชักชวนให้ลงทุนตาม ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

 

 

ผลตอบแทน LTF ย้อนหลัง บอกอนาคตได้จริงหรือ?

วันนี้ได้เวลาทำสิ่งหนึ่งที่อยากทำ นั่นคืออยากลองหาดูว่า กองทุนหุ้นที่ได้ที่ 1-5 ในแต่ละปีมีโอกาสเท่าไหร่ที่จะอยู่ในลำดับเดิม ๆ ในช่วงเวลาต่อมา และครั้งนี้ผมจะใช้กองทุนหุ้นระยะยาว LTF ในการทำวิจัยย้อนหลัง back-testing ครับว่า ผลตอบแทน LTF ที่ย้อนหลัง สามารถทำนายผลตอบแทนในอนาคตได้จริงหรือไม่?

1. ผลตอบแทน LTF จากการซื้อกองทุน 5 อันดับแรก

ในบ้านเรามีกองทุนหุ้นระยะยาว LTF ทั้งหมด 52 กองทุน และเพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนในระยะถัดที่มีข้อกำหนดให้ถือครอง 7 ปี (สำหรับบางท่านที่ซื้อวันสุดท้ายของปีจะถือแค่ 5 ปี 2 วัน) เพราะฉะนั้นผมจะใช้วิธีเลือกกองทุนลำดับ 1-5 แล้วดูว่า 5 ปีต่อมาจะเกิดอะไรขึ้น พวกมันจะมีโอกาสกลับมาเข้าสู่ทำเนียบได้อีกหรือไม่

สาเหตุที่เลือกแค่ห้าลำดับแรกก็เพราะว่า ในเมื่อ LTF มี 52 กอง แสดงว่า 5 กองแรกนั้นคือ TOP 10% สูงสุด จะได้รู้ไปว่า การดูผลตอบแทนย้อนหลัง หรือดูที่ 1-5 ในแต่ละปีแล้วซื้อ (ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปน่าจะนิยมทำกัน) จะได้กองทุนผลตอบแทนสูงสุดแบบที่พวกเขาหวังกันหรือไม่

โดยผมจะใช้ห้าลำดับแรกของปี 2007, 2008, 2009 ซึ่งจะครบ 5 ปีใน 2012, 2013, 2014 และด้านล่างคือผู้เข้ารอบ Hall of Fame ในแต่ละปีของเราครับ

rank1
หมายเหตุ : ตัดกองทุน LTF ที่มีนโยบายผสมตราสารหนี้ทิ้ง เช่น 70/30 75/25 ซึ่งถ้าไม่ตัด ในปี 2008 กองที่ผลตอบแทนสูงสุดทั้งหมดจะเป็นกองทุนพวกนี้ครับ
  • ปี 2007 กองทุน 5 ลำดับแรก ไม่ติด TOP5 ในปี 2012
  • กองทุนที่ได้ 5 ลำดับแรกในปี 2008 มี 2 กองที่ในปี 2013 กลับมาติดอันดับอีกครั้ง
  • ทว่าเคสปี 2009 คล้าย ๆ 2008 คือ 5 ลำดับแรก มี 2 กองทุนที่ห้าปีต่อมาติดลำดับอีกครั้ง

เมื่อคำนวณดูจะพบว่า ใน 1 ปีจะมี 5 กองทุนแรกให้เลือก ซึ่งถ้าเราย้อนหลัง 3 ปี เราจะซื้อกองเดียววัดใจได้ 15 ครั้ง แต่เราจะมีโอกาสแค่ 4 จาก 15 หรือ 26.67% ที่จะเลือกกองทุนได้ถูกต้องว่า 5 ปีต่อมา มันจะยังอยู่ในลำดับที่ 1-5

หากลองทดสอบแบบถือครองสมัยก่อนคือ 5 ปีปฎิทิน หรือน้อยสุด 3 ปี 2 วัน เพราะฉะนั้นใช้ระยะเวลา 3 ปีมาดูผลตอบแทน ก็จะพบว่าลำดับ 1-5 ในปีแรก จะกลับมาเป็นครองแชมป์ 5 ลำดับเดิมในอีก 3 ปีต่อมานั้น มีโอกาสเพียงแค่ 6 จาก 25 ครั้งหรือ 24% เท่านั้นที่คุณจะเลือกถูก

ที่โหดกว่านั้นคือ หากดูว่า มีกี่ปีที่ 1-5 ลำดับแรกจะกลับมาอยู่ 1-5 ของปีต่อมา เราสามารถทำธุรกรรมได้ 5 กองทุนต่อปี ก็จะมีทั้งหมด 7 ปี หรือ 35 ครั้ง แต่กลับมีแค่ 5 ครั้งเท่านั้นที่ห้าอันดับแรกของปีแรกจะเป็น 5 ลำดับแรกของปีถัดมา หรือคิดเป็นโอกาสเพียง 1 ใน 7 ซึ่งเท่ากับความน่าจะเป็น 14.29%

2. งานสนับสนุนเพิ่มเติม

งานวิจัยทางวิชาการของไทยก็ให้ผลไปในทางเดียวกันว่า กลยุทธ์ที่ซื้อกองทุน LTF จากผลตอบแทนที่ดีในอดีตไม่อาจชี้วัดได้ว่ากองทุนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนดีในอนาคต และยังพบอีกว่า กองทุนรวม LTF เหล่านี้ทำผลตอบแทนสุทธิ (net returns) ได้ต่ำกว่าผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์โดยห่างและทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นประมาณ 3% ต่อปี[1. ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์, “ผลตอบแทนและความต่อเนื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่มีนโยบายเชิงรุก,” วารสารบริหารธุรกิจ นิด้า 22 (พฤษภาคม 2561): 61.]

โดยผลตอบแทนของกองทุน LTF แบบ actively managed funds ในช่วงปี 2005-2016 อยู่ที่ 12.65% ต่อปี แต่ SET TR อยู่ที่ 15.73% (ห่างกัน 3.08% ต่อปี)[1. ibid., 70.] เงิน 10,000 ในตลาดหุ้นเป็น 57,723.34 แต่เงินในกองทุนบริหารโดยเฉลี่ยเป็นแค่ 41,761.33 ซึ่งห่างกันประมาณ 15,926 บาท! หรือคิดเป็นจำนวนเงินที่หายไปเกือบ 28%!!

3. บทสรุปสำหรับ ผลตอบแทน LTF

การดูลำดับผลตอบแทนกองทุนสูงสุด 1-5 ลำดับแรก แทบจะไม่เชื่อมโยงกับลำดับที่ของมันใน 1 ปี 3 ปี 5 ปีต่อมาเลย เป็นการยากที่คุณจะเลือก 1-5 ลำดับแรก แล้วหวังว่ามันจะเป็น 1-5 ลำดับแรกในอนาคต โอกาสถูกต้องน้อยกว่า 1/4 (ปาลูกดอกสี่ครั้งโดนเป้าครั้งเดียว)

และแม้จะหวังในรอบสั้น ๆ เช่น กรณี 1 ปี มันก็ยากยิ่งกว่า เพราะมีโอกาสน้อยกว่า 1/6 เปรียบไปแล้วก็เหมือนสุ่มทอยลูกเต๋าแล้วทายหน้าครับ โอกาสถูกพอกันเลย

ประเด็นสำคัญที่ผมอยากชี้ให้เห็นก็คือ ผลตอบแทนล่าสุดไม่บ่งบอกอะไรถึงผลตอบแทนในอนาคตเลย !! ไม่ว่าจะในระยะยาว หรือระยะสั้นก็ตาม (ไม่เชื่อลองย้อนไปดูผลตอบแทนที่ปีแรกสูง มีโอกาสน้อยมากที่ปีที่สองจะสูงด้วย)

บางท่านอาจจะสังเกตว่าบางกองมันก็กลับมาเป็นที่ 1-5 บ่อย ๆ นะ แสดงว่ามันก็น่าจะดูผลตอบแทนย้อนหลังได้บ้าง ซึ่งผมมีข้อเสนอแนะอีกว่า ที่เรารู้ว่ามันกลับมาเป็นที่ 1-5 ได้ใหม่ ก็เพราะผลตอบแทนมันโชว์ให้เห็นแล้วว่ามันกลับมาได้ ตรงนี้เรามีข้อมูลในอดีตให้ดู อันเป็นการมองกระจกหลัง อะไร ๆ ก็เลยดูง่ายไปซะหมด เพราะถ้าจับสถิติต่อ ณ 4 ธันวาคมปี 2015 กองทุน LTF ที่อยู่ลำดับ 1-5 ของปี 2014 ก็ไม่ติดห้าลำดับแรกครับ เป็นการวกกลับสู่ค่าเฉลี่ย ที่เรียกว่า “Reversion to the Mean” (RTM)

สิ่งที่อยากจะฝากไว้จริง ๆ ก็คือ วิธีที่หลายคนกำลังทำกันอยู่ ดูว่าใครผลตอบแทนดีล่าสุดแล้วซื้อตาม ยกตัวอย่าง ท่านจะซื้อ LTF วันที่ 30 ธันวาคม วันก่อนหน้านั้นท่านก็เปิดเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อดูว่า ใครหนอผลตอบแทนดีสุดในปีนี้ แล้วก็ซื้อกองทุนหุ้นที่ร้อนแรงล่าสุด ก็อย่างที่วิจัยครั้งนี้ทำให้เห็นครับ 1-3-5 ปีข้างหน้า (หรือไกลไปอีก) โอกาสที่ท่านจะได้กองทุนผลตอบแทนสูง ๆ ติดลำดับต้นอีกรอบนั้นมันช่างยากเสียจริง ไม่เชื่อดูบทวิจัยก่อนหน้าก็ได้ครับว่า กอง LTF ส่วนใหญ่ในระยะยาวยังแพ้ผลตอบแทนตลาดหุ้นอีกต่างหาก)

ดังนั้น สรุปกันสั้น ๆ ง่ายได้ว่า

“Past performance does not guarantee future results.”

ที่เขาโปรยไว้เวลาโฆษณากองทุนนั้น มันถูกต้องจริง ๆ

บทความแนะนำ:

(1) ทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผลตอบแทนหุ้นและตลาดหุ้น

(2) ผลตอบแทนย้อนหลัง กองทุน : ความเสียเวลาและมายาคติ


**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงแนวคิดส่วนตัวเกี่ยวกับวิธีการลงทุนของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาชักชวนให้ลงทุนตาม ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

ดูผลตอบแทนย้อนหลัง บอกอนาคตจริงหรือ (LTF)

วันนี้ได้เวลาทำสิ่งหนึ่งที่อยากทำ นั่นคืออยากลองหาดูว่า กองทุนหุ้นที่ได้ที่ 1-5 ในแต่ละปีมีโอกาสเท่าไหร่ที่จะอยู่ในลำดับเดิมๆในช่วงเวลาต่อมา และครั้งนี้ผมจะใช้กองทุนหุ้นระยะยาว LTF ในการทำวิจัยย้อนหลัง back-testing ครับ

ในบ้านเรามีกองทุนหุ้นระยะยาว LTF ทั้งหมด 52 กองทุน และเพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนในระยะถัดไปของ LTF ที่กำหนดถือครอง 7 ปี (สำหรับบางท่านที่ซื้อวันสุดท้ายของปีจะถือแค่ 5 ปี 2 วัน) เพราะฉะนั้นผมจะใช้วิธีเลือกกองทุนลำดับ 1-5 แล้วดูว่า 5 ปีต่อมาจะเกิดอะไรขึ้น พวกมันจะมีโอกาสกลับมาเข้าสู่ทำเนียบได้อีกหรือไม่ โดยเลือกแค่ห้าลำดับแรกก็เพราะว่าในเมื่อ LTF มี 52 กอง แสดงว่า 5 กองแรกนั้นคือ TOP 10% สูงสุด จะได้รู้ว่าการดูผลตอบแทนย้อนหลังหรือดูที่ 1-5 ในแต่ละปีแล้วซื้อ(ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปน่าจะนิยมทำกัน) จะได้กองทุนผลตอบแทนสูงสุดแบบที่พวกเขาหวังกันหรือไม่ โดยผมจะใช้ห้าลำดับแรกของปี 2007,2008,2009 ซึ่งจะครบ 5 ปีใน 2012,2013,2014 และด้านล่างคือผู้เข้ารอบ Hall of Fame ในแต่ละปีของเราครับ

rank1
หมายเหตุ : ตัดกองทุน LTF ที่มีนโยบายผสมตราสารหนี้ทิ้ง เช่น 70/30 75/25 ซึ่งถ้าไม่ตัด ในปี 2008 กองที่ผลตอบแทนสูงสุดทั้งหมดจะเป็นกองทุนพวกนี้ครับ

-กองทุน 5 ลำดับแรกในปี 2007 ไม่ติด 5 ลำดับแรกในปี 2012

-กองทุน 5 ลำดับแรกในปี 2008 มี 2 กองที่ห้าปีต่อมากลับมาติดอันดับอีกครั้ง

-กองทุน 5 ลำดับแรกในปี 2009 มี 2 กองทุนที่ห้าปีต่อมาติดลำดับอีกครั้ง

ลองคำนวณดูจะพบว่า ใน 1 ปีจะมี 5 กองทุนแรกให้เลือก เราย้อนหลัง 3 ปี = ซื้อกองเดียววัดใจได้ 15 ครั้ง แต่มีโอกาสแค่ 4 จาก 15 หรือ 26.67% ที่คุณจะเลือกกองทุนได้ถูกต้องว่า 5 ปีต่อมามันจะยังอยู่ในลำดับที่ 1-5

ลองทดสอบแบบถือครองสมัยก่อนคือ 5 ปีปฎิทิน หรือน้อยสุด 3 ปี 2 วัน เพราะฉะนั้นใช้ระยะเวลา 3 ปีมาดูผลตอบแทน พบว่า 1-5 ในปีแรกจะกลับมาเป็น 1-5 ในอีก 3 ปีต่อมานั้น มีเพียงแค่ 6 จาก 25 ครั้งหรือ 24% เท่านั้นที่คุณจะเลือกถูก

ที่โหดกว่านั้นคือ มีกี่ปีที่ 1-5 ลำดับแรกจะกลับมาอยู่ 1-5 ของปีต่อมา สถิติธุรกรรมได้ 5 กองทุนต่อปี ก็จะมีทั้งหมด 7 ปี หรือ 35 ครั้ง แต่กลับมีแค่ 5 ครั้งเท่านั้นที่ ห้าอันดับแรกของปีแรกจะเป็น 5 ลำดับแรกของปีถัดมา หรือมีโอกาสเพียง 1 ใน 7 ซึ่งเท่ากับความน่าจะเป็น 14.29%

บทสรุปที่น่าสนใจ คือ การดูลำดับผลตอบแทนกองทุนสูงสุด 1-5 ลำดับแรก แทบจะไม่เชื่อมโยงกับลำดับที่ของมันใน 1 ปี 3 ปี 5 ปีต่อมาเลย เป็นการยากที่คุณจะเลือก 1-5 ลำดับแรกแล้วหวังว่ามันจะเป็น 1-5 ลำดับแรกในเวลาระยะยาวๆ โอกาสถูกต้องน้อยกว่า 1/4 (ปาลูกดอกสี่ครั้งโดนเป้าครั้งเดียว) และแม้จะหวังในรอบสั้นๆเช่นกรณี 1 ปี มันก็ยากยิ่งกว่าเพราะมีโอกาสน้อยกว่า 1/6 เปรียบไปแล้วก็เหมือนสุ่มทอยลูกเต๋าแล้วทายหน้าครับ โอกาสถูกพอกัน

ประเด็นสำคัญที่ผมอยากชี้ให้เห็นก็คือ ผลตอบแทนล่าสุดไม่บ่งบอกอะไรถึงผลตอบแทนในอนาคตเลย !! ไม่ว่าจะในระยะยาว หรือระยะสั้นก็ตาม (ไม่เชื่อลองย้อนไปดูผลตอบแทนที่ปีแรกสูงมีโอกาสน้อยมากที่ปีที่สองจะสูงด้วย)

บางท่านอาจจะสังเกตว่าบางกองมันก็กลับมาเป็นที่ 1-5 บ่อยๆนะ แสดงว่ามันก็น่าจะดูผลตอบแทนย้อนหลังได้บ้าง ซึ่งผมมีข้อเสนอแนะอีกว่า ที่เรารู้ว่ามันกลับมาเป็นที่ 1-5 ได้ใหม่ก็เพราะผลตอบแทนมันโชว์ให้เห็นแล้วว่ามันกลับมาได้ ตรงนี้เรามีข้อมูลในอดีตให้ดู (เป็นการมองกระจกหลัง) เพราะถ้าจับสถิติต่อ ณ 4 ธันวาคมปี 2015 กองทุน LTF ที่อยู่ลำดับ 1-5 ของปี 2014 ก็ไม่ติดห้าลำดับแรกครับ เป็นการวกกลับสู่ค่าเฉลี่ย ที่เรียกว่า “Reversion to the Mean” (RTM)

สิ่งที่อยากจะฝากไว้จริงๆ ก็คือ วิธีที่หลายๆคนกำลังทำกันอยู่ ดูว่าใครผลตอบแทนดีล่าสุดแล้วซื้อตาม ยกตัวอย่าง ท่านจะซื้อ LTF วันที่ 30 ธันวาคม วันก่อนหน้านั้นท่านก็เปิดเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อดูว่า ใครหนอผลตอบแทนดีสุดในปีนี้ แล้วก็ซื้อกองทุนหุ้นที่ร้อนแรงล่าสุด ก็อย่างที่วิจัยครั้งนี้ทำให้เห็นครับ 1-3-5 ปีข้างหน้า (หรือไกลไปอีก) โอกาสที่ท่านจะได้กองทุนผลตอบแทนสูงๆ ติดลำดับต้นๆอีกรอบนั้นมันยากจริงๆ ไม่เชื่อดูบทวิจัยก่อนหน้าก็ได้ครับ ว่ากอง LTF ส่วนใหญ่ในระยะยาวยังแพ้ผลตอบแทนตลาดหุ้นอีกต่างหาก  โปรด click LTF กองไหนดี?

ดังนั้น สรุปกันสั้นๆง่ายก็คือ

past performance does not guarantee future results

ที่เขาโปรยไว้เวลาโฆษณากองทุนนั้น มันถูกต้องจริงๆ

 


**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงแนวคิดส่วนตัวเกี่ยวกับวิธีการลงทุนของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาชักชวนให้ลงทุนตาม ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน