การลงทุนในหุ้น เช่น ลงทุนโดยใช้กองทุนหุ้น นอกเหนือจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดหุ้นแล้ว นักลงทุนควรจะต้องมีทัศนคติเกี่ยวกับการมองโลกในแง่ดีบางอย่าง (Positive Thinking) นั่นคือ การมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของตลาดหุ้นโดยรวมครับ
ถ้ามองย้อนไปในอดีตจะพบว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของเราก่อตั้งขึ้นช่วง ค.ศ. 1975 (หรือ พ.ศ. 2517-2518) นี่ก็ผ่านมา 40 กว่าปี แสดงว่าตลาดหุ้นเราก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาระดับหนึ่งทีเดียว นับจากวันแรกที่มีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนซื้อขายไม่ถึง 10 บริษัท แต่ ณ วันนี้มีบริษัทจดทะเบียนใน SET กว่า 500 บริษัทแล้ว
จากวันนี้ถึงอนาคต ธุรกิจและบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายก็ควรจะดำเนินธุรกิจเติบโตไปดังที่เคยผ่านมาในอดีต ค่อย ๆ พัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์ การผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ โดยอาจจะสะท้อนมาจาก GDP ของประเทศที่เติบโตขึ้นในอนาคต ซึ่งถ้ามองย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้น 7-11 ยังมีไม่ถึง 1000 สาขาด้วยซ้ำ ตอนนี้จะทะลุ 10000 สาขาแล้ว บริษัทอื่น ๆ ก็ควรจะต้องเติบโตไปด้วย เช่น SCG, PTT, BBL, SCB, BIGC, MAKRO และอีกมากมาย ซึ่งตลาดหุ้นย่อมจะต้องสะท้อนผลผลิตทางเศรษฐกิจเหล่านี้ออกมาเป็นผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้น
เพราะอย่างที่เคยอธิบายไว้ในหลายบทความว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นถูกสร้างโดยผลตอบแทนที่สะท้อนมาจากภาคธุรกิจจริง ซึ่งก็คือบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังของหุ้นแต่ละตัว และที่ประกอบรวมกันเป็นตลาดหุ้น ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้ ส่งผ่านมาจากผลกำไรที่เติบโตขึ้นของธุรกิจ และกำไรส่วนที่จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล ซึ่งเราจะนำไปลงทุนในหุ้นทบต้นต่อ
ลองดูมูลค่าตลาดหุ้นไทยก็ได้ครับ (market capitalization) มูลค่าบริษัทจดทะเบียนของตลาดหุ้นไทยรวมกันตั้งแต่ พ.ศ. 2531 – 2556 ผ่านไป 25 ปี โตจาก 246,674 ล้านบาท เป็นเกือบ 15 ล้านล้านบาท
หรืออาจจะดูจากกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ในปี 2002 (พ.ศ. 2545) กำไรของบจ.รวมประมาณ 2 แสนล้านบาท แต่ในปี 2015 กำไรบจ.รวมกันเป็น 6.6 แสนล้านบาท โตขึ้น 3 เท่ากว่า ๆ (อ้างอิง)
ถ้าเราเข้าใจในจุดนี้ เราก็ควรจะลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นให้สอดคล้อง ด้วยการถือครองธุรกิจเหล่านี้ (อาจจะทำโดยถือครองธุรกิจทั้งหมดด้วยกองทุนดัชนี) ถือครองไประยะยาว ถือครองตลอดเวลา เพื่อเก็บเกี่ยวและรับผลตอบแทนจากธุรกิจไปเรื่อย ๆ เงินของคุณก็จะโตไปกับเศรษฐกิจและตลาดทุนของประเทศ ถ้าคุณเชื่อว่าในอนาคตอีก 20-50 ปีข้างหน้า ประเทศไทยยังคงอยู่และเศรษฐกิจจะเติบโต (แม้ในวันนี้คุณจะสงสัยก็เหอะ) เช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลงทุนในตลาดหุ้น
แม้ว่าจะมีเหตุผลดี ๆ มากมายในแต่ละปีที่จะไม่ควรจะลงทุนหุ้นก็ตาม ซึ่งถ้าดูการผ่านร้อนหนาวของตลาดหุ้น ไม่ว่าจะวิกฤตราชาเงินทุน วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤต Subprime วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ฯลฯ ตลาดหุ้นบ้านเราก็ยังเติบโตมาได้ด้วยดี ดูจาก SET TRI ที่แสดงผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นก็ได้ครับ ว่ามันโตมาจาก 1000 เป็นเกือบ 10000 จุดแล้ว