คลังเก็บหมวดหมู่: Research

LTF กองไหนดี

พอถึงช่วงเวลาสิ้นปีได้วนมาครบบรรจบอีกรอบ เหล่าผู้มีรายได้ก็จะเริ่มมองหาการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF เพื่อลดหย่อนภาษี ด้วยสรรพคุณที่จำง่าย ซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปี ซื้อแล้วถือยาว 7 ปี และซื้อปีไหนก็ได้ไม่บังคับซื้อทุกปี (อันนี้คือเงื่อนไขภาษีคร่าวๆนะครับ) ทำให้มันเป็นเครื่องมือวางแผนภาษีที่ใครๆหลายคนเลือกเป็นตัวเลือกแรกๆ แต่ทว่าคนส่วนใหญ่จะมองแค่ว่ามันลดภาษีได้เป็นหลัก หลายๆคนก็เลยปาลูกดอกเล่น ซื้อกองทุน LTF เจ้าไหนก็ได้เอาฉันสะดวกพอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดครับ!

LTF คือ กองทุนรวมที่ลงทุนใน “หุ้น” ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยหรือ “SET” ดังนั้น การถือครองถึง 7 ปีย่อมทำให้ผลตอบแทนของกองทุนสะท้อนผลตอบแทนหุ้นได้อย่างดี (จากสถิติคำนวณย้อนหลัง 2002 – พฤศจิกายน2015 Rolling Return ของผลตอบแทนตลาดหุ้นรวมเงินปันผลอยู่ที่ 13.5% กว่าต่อปี หมายความว่า ถ้าคุณลงทุนในหุ้นวันไหนก็ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แล้วถือยาวถึง 7 ปี ผลตอบแทนที่ได้รับจะเฉลี่ยอยู่ที่ 13.5% ต่อปี และที่น่าสนใจคือ ค่าต่ำสุดของผลตอบแทนคือ 5.1% นั่นหมายความว่า ในช่วงเวลาที่ทดสอบย้อนหลังนั้น ารถือครองหุ้นทั้งตลาดเป็นเวลา 7 ปี ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกตลอด ไม่ขาดทุน  โดยคุณสามารถลงทุนอย่างเรียบง่าย สบายๆ เพียงแค่ลงทุนหุ้นทั้งตลาดแล้วถือครองให้ยาวพอ ด้วยวิธีที่ดีที่สุดในการจะทำแบบนี้ คือ ซื้อ ” Index Fund” หรือกองทุนดัชนี

คำถามก็คือ ถ้าเราเลือกลงทุน LTF โดยใช้ Active Funds หรือกองทุนที่จ้างผู้จัดการกองทุนมาเลือกหุ้นให้ ในเวลา 10 ปีย้อนหลังที่ผ่านมามีกี่กองที่ทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น(รวมเงินปันผลทบต้น)

จากการดึงข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2015 ย้อนหลังไป 10 ปี เราจะได้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นรวมเงินปันผลทบต้น (SET Index Total Return หรือ “SET TR”) ที่ 11.79% ต่อปี ในขณะที่ กองทุน LTF ที่ตั้งเกิน 10 ปีมาแล้วมี 26 กองทุน ผลตอบแทนเฉลี่ยของพวกเขาคือ 10.21% (สูงสุด 15.65% ต่ำสุด 4.2%) ซึ่งจะมีเพียง 6 กองทุนจาก 26 กองที่ชนะ SET TR หรือคิดเป็น 22% เท่านั้น หมายความว่า กองทุนประมาณ 80% ทำผลตอบแทนได้น้อยกว่าตลาดหุ้น โดยน้อยกว่าเฉลี่ย 1.58% ต่อปี !!!!  หรือทำผลตอบแทนได้เพียง 86.5% ของผลตอบแทนรวมตลาดหุ้น

10Y
Data as of 27/11/2015  source : Morningstar, SET

จากข้อมูลข้างบน เราจะตั้งข้อสังเกตกันได้อีกครับ ถ้าเราซื้อกองทุนดัชนีที่ใกล้เคียงที่สุด คือ กรุงศรีหุ้นระยะยาว SET50 ซึ่งได้ผลตอบแทน 9.8% ต่อปี ก็ยังห่างจากผลตอบแทน SET TR ถึง 1.99% ต่อปี และทำผลตอบแทนชนะกองทุนได้เพียงแค่ 10 กองทุน (ชนะประมาณ 40% ของกองทุนทั้งหมด) ซึ่งผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า แม้ผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นจะชนะกองทุนได้กว่า 80% แต่กองทุนดัชนีที่เลียนแบบตลาดหุ้นกลับชนะได้น้อยกว่ามากๆ นั่นก็เพราะเหตุผลเดียวคือ ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม (Total Expense Ratio) ครับ นั่นคือ ถ้ากองทุนดัชนีพวกนี้คิดค่าใช้จ่ายน้อยลงจะทำให้โอกาสที่พวกมันจะชนะกองทุนบริหารทั้งหลายนั้นสูงขึ้นมาก

การที่กองทุน Active Funds (LTF) ส่วนใหญ่แพ้ตลาดหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทางตะวันตกครับ ซึ่งได้พิสูจน์กันมาแล้วว่า ระยะยาว กองทุนบริหารที่คัดเลือกหุ้นมีน้อยมากที่ระยะยาวจะทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น ยิ่งกองดัชนีในต่างประเทศ อย่างเช่น ของประเทศสหรัฐอเมริกา คิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนเพียงปีละ 0.05% ต่อปียิ่งทำให้พวกมันทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงตลาดหุ้นจริงๆ จึงทำให้พวกกองทุนบริหารกว่า 70-80% ไม่สามารถทำผลตอบแทนดีกว่าพวกมันได้

ประเด็นสั้นๆ 1 บรรทัดที่สำคัญคือ ในระยะยาวนั้น

“ค่าใช้จ่ายบ่งบอกผลตอบแทนที่คุณจะได้รับในอนาคตมากที่สุด”

เพราะในระยะยาวมีกองทุนน้อยมากที่จะทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น คุณแทบจะทำนายไม่ได้เลยว่าอีก 20-30 ปีข้างหน้ากองทุนไหนจะทำผลตอบแทนได้ที่ 1 หรือ 2 เพราะฉะนั้นการมานั่งเสียเวลาไปกับการไล่ล่าหากองทุนที่ผลตอบแทนดีเป็นการเปล่าประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เชื่อลองดู 5 ปีล่าสุดก็ได้ครับ

5 ปีล่าสุดนั้น ผลตอบแทนของกองทุน LTF เฉลี่ยอยู่ที่ 7.52% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนของ SET TR อยู่ที่ 10.39% ต่อปี ส่วนต่างคือ -2.87% ต่อปี หรือเท่ากับว่ากองทุน LTF ส่วนใหญ่ทำผลตอบแทนหายไปซึ่งคิดเป็น 27% ของผลตอบแทนตลาดหุ้นที่คุณควรจะได้รับครับ และมีเพียง 11 จาก 52 กองทุนเท่านั้นที่ชนะ SET TR (เท่ากับว่ามีแค่ 20.8%จากทั้งหมดที่สามารถชนะตลาดหุ้นได้)โดยลำดับก็ไม่เหมือนเดิมกันด้วย เพราะ 6 กองทุนที่ชนะ SET TR ของ 10 ปีที่แล้ว โผล่มาชนะในรอบ 5 ปีนี้แค่ 4 กองทุนเท่านั้น

5Y

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองทำแบบ 3 ปีย้อนหลังบ้างครับ คราวนี้มี LTF แค่ 10 กองเท่านั้นที่ทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น ( ประมาณ 80% ของกองทุนจาก 52 กองทุนพ่ายแพ้กับตลาดหุ้นอีกแล้ว) โดยผลตอบแทนของกองทุน LTF เฉลี่ยครั้งนี้อยู่ที่ 3.42% ต่อปี ในขณะที่ SET TR อยู่ที่ 5.15% นั่นคือ ส่วนต่างความพ่ายแพ้ครั้งนี้อยู่ที่ 1.73% ต่อปีครับ หรือกองทุน LTF ส่วนใหญ่ทำผลตอบแทนได้เพียงแค่ 66.4% จากที่ตลาดหุ้นทำได้ (ขออนุญาตไ่ม่ใส่รูปครับ)

มาถึงตรงนี้ เราก็ได้ตัวเลขสักทีว่า กองทุนที่มีผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลังชนะตลาดหุ้น ซึ่งมีทั้งหมด 6 กองทุนนั้น มี 4 กองทุนที่สามารถชนะตลาดหุ้น 5 ปีย้อนหลังได้ และเหลือแค่  3 กองทุนเท่านั้นที่ชนะในช่วงเวลา 3 ปีย้อนหลัง ซึ่งใน 3 กองนี้มีเพียงแค่กองเดียวที่ชนะ ทั้งช่วงเวลา 10 ปี 5 ปี 3 ปี แถมถ้าทำการติดตามต่อในปีล่าสุด (2015) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีล่าสุด กองดังกล่าวได้แพ้ตลาดหุ้นไปเรียบร้อยยยย

ผมกำลังจะชี้ให้เห็นครับว่าในระยะยาวแล้ว ไม่มีผู้ชนะในวงการกองทุนรวมหุ้นที่ถาวร ทุกช่วงเวลาจะมีกองทุนกลุ่มหนึ่งที่ชนะตลาดหุ้นแล้วก็จะกลับมาแพ้ หรืออาจจะหายไปเลย การมานั่งไล่หาว่ากองทุนไหนชนะตลาดหุ้นในปีนี้ ปีหน้า 3 ปี 5 ปี 10 ปีข้างหน้า เสียเวลาเปล่าๆครับ ทางเลือกที่ดีที่สุดที่พิสูจน์กันมาแล้วในฝั่งตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว คือ “ลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด” (Stay invest & Stay hold index fund) 

ซึ่งตรงนี้บ้านเรามี LTF กองดัชนีค่าใช้จ่ายต่ำสุดก็ประมาณ 0.7-0.8% ซึ่งยังถือว่าค่อนข้างสูง ทำให้มันยังไม่สามารถโชว์ผลตอบแทนที่โดดเด่นออกมาได้  แต่ SET TR ได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่า กองทุนผู้ชนะตลาดหุ้นในระยะยาวนั้นหาได้ยากมาก ยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งงมยากเหมือนเข็มในกองฟาง จึงได้แต่หวังว่าสักวันจะมีบลจ.สักที่ที่คิดค่าใช้จ่ายกองทุนรวมดัชนีต่ำๆ เพื่อประโยชน์ของนักลงทุนครับ

วัตถุประสงค์สำคัญในการเขียนบทความนี้ของผมขึ้นมาก็คือ อยากให้นักลงทุนได้รับรู้ข้อมูลว่าจริงๆแล้ว “กองทุนหุ้นโดยส่วนใหญ่ในระยะยาวทำผลตอบแทนได้แพ้ตลาดหุ้น” แม้แต่กองทุนที่ชนะตลาดหุ้นในวันนี้ อนาคตก็อาจจะแพ้ได้ เพราะมันวกกลับสู่ค่าเฉลี่ย “Reversion to the Mean” (RTM)

ซึ่งปัจจัยสำคัญอันแรก ก็คือ กองทุนไม่สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเกินได้ อาจจะมาจากฝีมือการคัดเลือกหุ้นที่พลาดไป หรือ เพราะความมีประสิทธิภาพของตลาดหุ้นเองทำให้การชนะมันเป็นเรื่องที่ลำบาก

ผสมกับปัจจัยที่สองที่สำคัญกว่า นั่นคือ

“ระยะยาวแล้วค่าใช้จ่ายรวมของกองทุนทำลายผลตอบแทนของนักลงทุนมากที่สุด”

 เพราะต่อให้ผู้จัดการกองทุนทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้นถึงปีละ 1.2% แต่ถ้าค่าใช้จ่ายรวมต่อปีของกองทุนคือ 2-3% ต่อปี ยังไงก็แพ้ตลาดหุ้นอยู่ดีครับ

ถ้าระยะยาวตลาดหุ้นทำผลตอบแทนได้ประมาณ 10% ต่อปี การที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายกองทุนปีละ 2-3% ต่อปี เท่ากับว่าคุณต้องเสียผลตอบแทนที่ควรได้รับไปถึง 20-30% เลยทีเดียว


 

บนโลกการลงทุนสมัยนี้ที่ใครๆก็พยายามจะหาวิธีเลือกกองทุนหุ้นอย่างเช่น LTF ที่มีผลตอบแทนสูงสุด ไล่ล่าเสียเวลาไปกับการนั่งติดตามการจัดอันดับ คำแนะนำคือ เราไม่ควรทำแบบนั้นตามฝูงชน ครับ

สำหรับแนวทางในการลงทุน LTF จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า

A) ลงทุนในกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีสม่ำเสมอ และเราสบายใจในการถือ

B) เชื่อมั่นในกองทุนดัชนีโดยเลือกลงทุนในกองที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด

เพราะทั้งนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะวัดว่าระยะยาวผลตอบแทนของนักลงทุนจะดีหรือไม่ อย่างเช่น การอดทนถือกองทุนให้ได้ยาวๆ เกิน 10 ปีขึ้นไป, การมีวินัยในการซื้อกองทุน ฯลฯ เพียงแต่ว่าบันไดก้าวแรกควรจะต้องรู้ตัวเองก่อนครับว่า การเสียเวลาไปกับการหากองทุนร้อนแรง การนั่งดูผลตอบแทนย้อนหลัง การนั่งฟังคนขายพูดถึงผลตอบแทนล่าสุด หรืออ่านบทความแนะนำกองนู้นนี่นั้น เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่าๆ เพราะ Past Performance ผลตอบแทนย้อนหลัง ทำนายอนาคตแทบจะไม่ได้เลย ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ เราจะได้เลิกนั่งติดตามกองทุนต่างๆ และเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นที่ส่งผลดีกับการลงทุนของเราครับผม ^^


บทความนี้เขียนขึ้นโดยต้องการให้ความรู้กับนักลงทุน และไม่มีวัตถุประสงค์ในการชี้ชวนหรือแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด 

LTF กองไหนดี ? : คำถามซึ่งไม่ไร้คนพยายามตอบ

LTF กองไหนดี ?

พอถึงช่วงเวลาสิ้นปีได้วนมาครบบรรจบอีกรอบ เหล่าผู้มีรายได้ก็จะเริ่มมองหาการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF เพื่อลดหย่อนภาษี ด้วยสรรพคุณที่จำง่าย ซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปี ซื้อแล้วถือยาว 7 ปี และซื้อปีไหนก็ได้ไม่บังคับซื้อทุกปี (อันนี้คือเงื่อนไขภาษีคร่าว ๆ นะครับ) ทำให้มันเป็นเครื่องมือวางแผนภาษีที่ใครหลาย ๆ คนเลือกเป็นตัวเลือกแรก ๆ

ทว่า LTF กองไหนดี เมื่อคนส่วนใหญ่จะมองแค่ว่ามันลดภาษีได้เป็นหลัก หลายคนก็เลยปาลูกดอกเล่น ซื้อกองทุน LTF เจ้าไหนก็ได้ เอาที่ฉันสะดวกพอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดครับ!

1. อะไรคือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว?

LTF คือ กองทุนรวมที่ลงทุนใน “หุ้น” ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยหรือ “SET” ดังนั้น การถือครองถึง 7 ปีย่อมทำให้ผลตอบแทนของกองทุนสะท้อนผลตอบแทนหุ้นได้อย่างดี (จากสถิติคำนวณย้อนหลัง 2002 – พฤศจิกายน 2015 พบว่า Rolling Return ของผลตอบแทนตลาดหุ้นรวมเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 13.5% ต่อปี หมายความว่า ถ้าคุณลงทุนในตลาดหุ้นวันไหนก็ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แล้วถือยาวถึง 7 ปี ผลตอบแทนที่ได้รับจะเฉลี่ยอยู่ที่ 13.5% ต่อปี และที่น่าสนใจคือ ค่าต่ำสุดของผลตอบแทนคือ 5.1%

นั่นหมายความว่า ในช่วงเวลาที่ทดสอบย้อนหลังนั้น การถือครองหุ้นทั้งตลาดเป็นเวลา 7 ปี ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกตลอด ไม่ขาดทุน  โดยคุณสามารถลงทุนอย่างเรียบง่าย สบาย ๆ เพียงแค่ลงทุนหุ้นทั้งตลาดแล้วถือครองให้ยาวพอ ด้วยวิธีที่ดีที่สุดในการจะทำแบบนี้ คือ ซื้อกองทุนดัชนี (Index Fund)

คำถามก็คือ ถ้าเราเลือกลงทุน LTF โดยใช้ Active Funds หรือกองทุนที่จ้างผู้จัดการกองทุนมาเลือกหุ้นให้ ในเวลา 10 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา มีกี่กองกันนะที่ทำผลตอบแทนได้ชนะผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้น

จากการดึงข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2015 ย้อนหลังไป 10 ปี เราจะได้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นรวมเงินปันผลทบต้น (SET Index Total Return หรือ “SET TR”) ที่ 11.79% ต่อปี

ในขณะที่ กองทุน LTF ที่ตั้งเกิน 10 ปีมาแล้วมี 26 กองทุน ผลตอบแทนเฉลี่ยของพวกเขาคือ 10.21% (สูงสุด 15.65% ต่ำสุด 4.2%) ซึ่งจะมีเพียง 6 กองทุนจาก 26 กองที่ชนะ SET TR หรือคิดเป็น 22% เท่านั้น นั่นเท่ากับว่า กองทุนประมาณ 80% ทำผลตอบแทนได้น้อยกว่าตลาดหุ้น โดยทำได้น้อยกว่าเฉลี่ย 1.58% ต่อปี !!!  หรือทำผลตอบแทนได้เพียง 86.5% ของผลตอบแทนรวมตลาดหุ้น  😱

10Y
Data as of 27/11/2015  source : Morningstar, SET

จากข้อมูลข้างบน เราจะตั้งข้อสังเกตกันได้อีกครับ ถ้าเราซื้อกองทุนดัชนีที่ใกล้เคียงที่สุด คือ กรุงศรีหุ้นระยะยาว SET50 ซึ่งได้ผลตอบแทน 9.8% ต่อปี ก็ยังห่างจากผลตอบแทน SET TR ถึง 1.99% ต่อปี และทำผลตอบแทนชนะกองทุนได้เพียงแค่ 10 กองทุน (ชนะประมาณ 40% ของกองทุนทั้งหมด)

ซึ่งผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า แม้ผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นจะชนะกองทุนได้กว่า 80% แต่กองทุนดัชนีที่เลียนแบบตลาดหุ้นกลับชนะได้น้อยกว่ามาก ๆ นั่นก็เพราะเหตุผลเดียวคือ ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม (Total Expense Ratio) ครับ นั่นคือ ถ้ากองทุนดัชนีพวกนี้คิดค่าใช้จ่ายน้อยลง จะทำให้โอกาสที่พวกมันจะชนะกองทุนบริหารทั้งหลายนั้นสูงขึ้นอย่างมาก

การที่กองทุน LTF ประเภทกองทุนบริหาร (Active Funds) ส่วนใหญ่แพ้ตลาดหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทางตะวันตกครับ ซึ่งได้พิสูจน์กันมาแล้วว่า ในระยะยาวนั้น กองทุนบริหารที่คัดเลือกหุ้นมีน้อยมากที่ระยะยาวจะทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น ยิ่งกองดัชนีในต่างประเทศ อย่างเช่น ของประเทศสหรัฐอเมริกา คิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนเพียงปีละ 0.05% ต่อปี ก็ยิ่งทำให้พวกมันทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงตลาดหุ้นจริง ๆ จึงทำให้พวกกองทุนบริหารกว่า 70-80% ไม่สามารถทำผลตอบแทนดีกว่าพวกมันได้

2. ผลกระทบจากค่าใช้จ่ายกองทุน

ประเด็นสั้น ๆ 1 บรรทัดที่สำคัญคือ ในระยะยาวนั้น

“ค่าใช้จ่ายบ่งบอกผลตอบแทนที่คุณจะได้รับในอนาคตมากที่สุด”

เพราะในระยะยาวมีกองทุนน้อยมากที่จะทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น คุณแทบจะทำนายไม่ได้เลยว่า อีก 20-30 ปีข้างหน้า กองทุนไหนจะทำผลตอบแทนได้ที่ 1 หรือ 2 เพราะฉะนั้นการมานั่งเสียเวลาไปกับการไล่ล่าหากองทุนที่ผลตอบแทนดีที่สุด จึงเป็นการเปล่าประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เชื่อลองดู 5 ปีล่าสุดก็ได้ครับ

5 ปีล่าสุดนั้น ผลตอบแทนของกองทุน LTF เฉลี่ยอยู่ที่ 7.52% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนของ SET TR อยู่ที่ 10.39% ต่อปี ส่วนต่างคือ – 2.87% ต่อปี หรือเท่ากับว่ากองทุน LTF ส่วนใหญ่ทำผลตอบแทนหายไปซึ่งคิดเป็น 27% ของผลตอบแทนตลาดหุ้นที่คุณควรจะได้รับครับ และมีเพียง 11 จาก 52 กองทุนเท่านั้นที่ชนะ SET TR (เท่ากับว่ามีแค่ 20.8%จากทั้งหมดที่สามารถชนะตลาดหุ้นได้) โดยลำดับก็ไม่เหมือนเดิมกันด้วย เพราะ 6 กองทุนที่ชนะ SET TR ของ 10 ปีที่แล้ว โผล่มาชนะในรอบ 5 ปีนี้แค่ 4 กองทุนเท่านั้น

5Y

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองทำแบบ 3 ปีย้อนหลังบ้างครับ คราวนี้มี LTF แค่ 10 กองเท่านั้นที่ทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น (ประมาณ 80% ของกองทุนจาก 52 กองทุนพ่ายแพ้กับตลาดหุ้นอีกแล้ว) โดยผลตอบแทนของกองทุน LTF เฉลี่ยครั้งนี้อยู่ที่ 3.42% ต่อปี ในขณะที่ SET TR อยู่ที่ 5.15% นั่นคือ ส่วนต่างความพ่ายแพ้ครั้งนี้อยู่ที่ 1.73% ต่อปีครับ หรือกองทุนส่วนใหญ่ทำผลตอบแทนได้เพียงแค่ 66.4% จากที่ตลาดหุ้นทำได้ 

มาถึงตรงนี้ เราก็ได้ตัวเลขสักทีว่า กองทุนที่มีผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลังชนะตลาดหุ้น ซึ่งมีทั้งหมด 6 กองทุนนั้น มี 4 กองทุนที่สามารถชนะตลาดหุ้น 5 ปีย้อนหลังได้ และเหลือแค่  3 กองทุนเท่านั้นที่ชนะในช่วงเวลา 3 ปีย้อนหลัง ซึ่งใน 3 กองนี้มีเพียงแค่กองเดียวที่ชนะ ทั้งช่วงเวลา 10 ปี 5 ปี 3 ปี แถมถ้าทำการติดตามต่อในปีล่าสุด (2015) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีล่าสุด กองดังกล่าวได้แพ้ตลาดหุ้นไปเรียบร้อย  😯

3. LTF กองไหนดี : ผู้ชนะในระยะยาวมีจริงหรือไม่?

ผมกำลังจะชี้ให้เห็นครับว่า ในระยะยาวแล้ว ไม่มีผู้ชนะในวงการกองทุนรวมหุ้นที่ถาวร ทุกช่วงเวลาจะมีกองทุนกลุ่มหนึ่งที่ชนะตลาดหุ้นแล้วก็จะกลับมาแพ้ หรืออาจจะหายไปเลย การมานั่งไล่หาว่ากองทุนไหนชนะตลาดหุ้นในปีนี้ ปีหน้า 3 ปี 5 ปี 10 ปีข้างหน้า เสียเวลาเปล่า ๆ ครับ (Peter Lynch ก็เคยเตือนเรื่องนี้ว่ามันเปล่าประโยชน์)[1. Peter Lynch and John Rothchild, Beating the Street, revised ed. (New York: Simon & Schuster, 1994), 68.] ทางเลือกที่ดีที่สุดที่พิสูจน์กันมาแล้วในฝั่งตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว คือ “ลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด” (Stay invest & Stay hold an index fund) 

ซึ่งตรงนี้บ้านเรามี LTF กองดัชนีค่าใช้จ่ายต่ำสุดก็ประมาณ 0.7-0.8% ซึ่งยังถือว่าค่อนข้างสูง ทำให้มันยังไม่สามารถโชว์ผลตอบแทนที่โดดเด่นออกมาได้  แต่ SET TR ได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่า กองทุนผู้ชนะตลาดหุ้นในระยะยาวนั้นหาได้ยากมาก ยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งงมยากเหมือนเข็มในกองฟาง จึงได้แต่หวังว่าสักวันจะมีบลจ.สักที่ ที่ทำการคิดค่าใช้จ่ายกองทุนรวมดัชนีต่ำ ๆ เพื่อประโยชน์ของนักลงทุนครับ

วัตถุประสงค์สำคัญในการเขียนบทความนี้ของผมขึ้นมาก็คือ อยากให้นักลงทุนได้รับรู้ข้อมูลว่าจริงๆแล้ว กองทุนหุ้นโดยส่วนใหญ่ในระยะยาวทำผลตอบแทนได้แพ้ตลาดหุ้น แม้แต่กองทุนที่ชนะตลาดหุ้นในวันนี้ อนาคตก็อาจจะแพ้ได้ เพราะมันมักวกกลับไปสู่ค่าเฉลี่ย “Reversion to the Mean” (RTM)

ซึ่งปัจจัยสำคัญอันแรก ก็คือ กองทุนไม่สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเกินได้ อาจจะมาจากฝีมือการคัดเลือกหุ้นที่พลาดไป หรืออาจเพราะความมีประสิทธิภาพของตลาดหุ้นเองทำให้การชนะมันเป็นเรื่องที่ลำบาก โดยผสมกับปัจจัยที่สองที่สำคัญกว่า นั่นคือ

ในระยะยาวแล้วค่าใช้จ่ายรวมของกองทุนทำลายผลตอบแทนของนักลงทุนมากที่สุด

 เพราะต่อให้ผู้จัดการกองทุนทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้นถึงปีละ 1.2% แต่ถ้าค่าใช้จ่ายรวมต่อปีของกองทุนคือ 2-3% ต่อปี ยังไงก็แพ้ตลาดหุ้นอยู่ดีครับ หรือพูดอีกแบบให้เห็นภาพก็คือ ถ้าระยะยาวตลาดหุ้นทำผลตอบแทนได้ประมาณ 10% ต่อปี การที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายกองทุนปีละ 2-3% ต่อปี เท่ากับว่าคุณต้องเสียผลตอบแทนที่ควรได้รับไปถึง 20-30% เลยทีเดียว

4. ข้อสนับสนุนเพิ่มเติม

งานวิจัยทางวิชาการของไทยก็ให้ผลไปในทางเดียวกันว่า กลยุทธ์ที่ซื้อกองทุน LTF จากผลตอบแทนที่ดีในอดีตไม่อาจชี้วัดได้ว่ากองทุนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนดีในอนาคต และยังพบอีกว่า กองทุนรวม LTF หุ้นไทยโดยเฉลี่ยทำผลตอบแทนสุทธิ (net returns) ได้ต่ำกว่าผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์โดยห่างและทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นประมาณ 3% ต่อปี[1. ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์, “ผลตอบแทนและความต่อเนื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่มีนโยบายเชิงรุก,” วารสารบริหารธุรกิจ นิด้า 22 (พฤษภาคม 2561): 61.]

โดยผลตอบแทนของกองทุน LTF แบบ actively managed funds ในช่วงปี 2005-2016 อยู่ที่ 12.65% ต่อปี แต่ SET TR อยู่ที่ 15.73% (ห่างกัน 3.08% ต่อปี)[1. ibid., 70.] เงิน 10,000 ในตลาดหุ้นเป็น 57,723.34 แต่เงินในกองทุนบริหารโดยเฉลี่ยเป็นแค่ 41,761.33 ซึ่งห่างกันประมาณ 15,926 บาท! หรือหายไปเกือบ 28%!!

5. ทิ้งท้ายกับปัญหา LTF กองไหนดี ?

บนโลกการลงทุนสมัยนี้ที่ใคร ๆ ก็พยายามจะหาวิธีเลือกกองทุนหุ้นที่มีผลตอบแทนสูงสุด ไล่ล่าเสียเวลาไปกับการนั่งติดตามการจัดอันดับ คำแนะนำที่เรียบง่ายคือ เราไม่ควรทำแบบนั้นตามฝูงชน ครับ

สำหรับแนวทางในการลงทุนจึงอาจจะเป็นไปได้ว่า การเชื่อมั่นในการลงทุนเชิงรับ (passive investment)โดยเลือกลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด อาจเป็นแนวทางที่ดูสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง และไม่ใช่แค่เพียงลงทุนกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่จะวัดว่าในระยะยาว ผลตอบแทนของนักลงทุนจะดีหรือไม่ เช่น การอดทนถือกองทุนให้ได้ยาว ๆ เกิน 10 ปีขึ้นไป หรือการมีวินัยในการซื้อกองทุน ฯลฯ

เพียงแต่ว่าบันไดก้าวแรกนั้น นักลงทุนควรจะต้องรู้ตัวเองก่อนครับว่า การเสียเวลาไปกับการหากองทุนร้อนแรง การนั่งดูผลตอบแทนย้อนหลัง การนั่งฟังคนขายพูดถึงผลตอบแทนล่าสุด หรืออ่านบทความแนะนำกองนู้นนี่นั้น เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่า ๆ เพราะผลตอบแทนย้อนหลัง (Past Performance) ทำนายผลตอบแทนในอนาคตแทบจะไม่ได้เลย ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ เราจะได้เลิกนั่งติดตามกองทุนต่าง ๆ และเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นที่ส่งผลดีกับการลงทุนของเราครับผม

บทความแนะนำ:

(1) ทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผลตอบแทนหุ้นและตลาดหุ้น

(2) ปัญหาของการเลือกกองทุนจากผลตอบแทนย้อนหลัง

P/E ตลาดหุ้นไทย 40 ปี

มีหน้าเว็บหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ที่ผมชอบเข้าดูบ่อยๆ คือ หน้า สรุปภาพรวมตลาด โดยเฉพาะส่วนล่างค่าสถิติสำคัญซึ่งอัตราส่วนทั้งหมดนี้ค่อนข้างสำคัญและผมชอบเอามาวิเคราะห์บ่อยๆครับ

ข้อมูล ณ 18 กันยายน 2558
ข้อมูล ณ 18 กันยายน 2558

และอัตราส่วนที่ผมชอบดูมากที่สุดคือ P/E ของตลาดหุ้นครับ ใครที่ศึกษาเรื่องหุ้นมาแล้ว ค่านี้เป็นตัวหลักที่นักลงทุนทุกคนควรจะเข้าใจ เพราะมันเป็นตัวเลขสำคัญที่จะบอกอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับหุ้นตั้งแต่ระดับพื้นๆไปจนถึงเชิงลึกเลยทีเดียว สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักมัน เราสามารถสรุปเรื่องของ P/E ย่อๆได้ว่ามันเป็นตัวเลขที่ “บอกเราว่าราคาที่จ่ายในการซื้อ ณ วันนี้คิดเป็นกี่เท่าของกำไรที่เราจะได้” ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คุณซื้อบริษัทที่ทำกำไรได้แน่นอนมากปีละ 100 ล้าน ผ่านไปกี่ปีก็ไม่ลดไม่เพิ่ม ยืนยันที่จะทำกำไรได้ปีละ 100 ล้านเท่านั้น ถ้าคุณซื้อมันทั้งกิจการที่ 100 ล้านพอดี ซื้อปุ๊บปีเดียวคุณก็คืนทุนล่ะ ถ้าสมมติกำไร 100 ล้านนั้นเป็นเงินสดและจ่ายให้คุณทั้งหมด แต่ถ้าตัวเลขเป็นว่าคุณจ่าย 1,000 ล้านบาทที่ระดับกำไรนี้ คุณจะต้องใช้เวลาคืนทุนยาวไปถึง 10 ปี (1,000/100) วิธีคิด P/E จึงง่ายมากๆ เอาราคาตั้งแล้วหารด้วยกำไรที่บริษัททำได้ ไม่ว่าจะใช้ มูลค่าตามราคาตลาดหารด้วยกำไรสุทธิ (MarketCap/Net income) หรือ ราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น (Price/EPS) ตัวเลขจะออกมาเท่ากัน ส่วนถ้าบริษัทขาดทุน ตัวเลขจะคำนวณไม่ได้ เว็บตลาดหลักทรัพย์จะโชว์เป็น N/A

ถ้าคุณดูค่า P/E ล่าสุดของตลาดหุ้นไทย (SET) ที่ 18.32 มันจะบอกเราว่า
1.ที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 13.12 ล้านล้านบาท คุณกำลังซื้อที่ราคา 18.32 เท่าของกำไรที่ตลาดหุ้นไทยทำได้ประมาณปีละ 0.72 ล้านบาท หรือ
2.ที่ดัชนีตลาดหุ้น SET 1,390.32 คุณกำลังจ่ายที่ 18.32 เท่าของกำไรที่บริษัทใน SET ทั้งหมดรวมกันทำได้ 75.89 บาทต่อปี (คล้ายๆคำนวณจาก Price/EPS ครับ)

หลักการง่ายๆ ของ P/E คือยิ่งตัวเลขนี้น้อยเราก็จะคืนทุนได้ไว (จ่ายไม่แพงสำหรับกำไรของสินทรัพย์ที่เราซื้อทำได้) สมมติคุณฝากเงินในธนาคารได้ดอกเบี้ย 2% ต่อปี วิธีหาค่า P/E มันก็คือ 100/2 = 50 นั่นคือ สมมติคุณต้องการจะคืนทุนทั้งหมดด้วยการฝากเงินรับดอกเบี้ยปีละ 2% คุณต้องรอไปถึง 50 ปี !! (ยังมีใครเห็นด้วยอยู่หรือไม่ว่าฝากเงินธนาคารจะทำให้เรารวยได้)

แถมตัวเลข P/E นั้นถ้าคุณกลับสัดส่วนเป็น E/P คุณจะได้ตัวเลขของผลตอบแทนที่คุณคาดหวังครับ (Earnings Yield) มีอีกวิธีคิดง่ายๆ คือ เอา 100 หารด้วย P/E เช่น ตัวเลข P/E SET คือ 18.32 แสดงว่าคุณหวังผลตอบแทนที่คาดหวังจากการซื้อหุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยวันนี้ที่ 100/18.32 = 5.46% ต่อปี ซึ่งการที่คุณจะตัดสินใจอะไรได้ดีขึ้นในการลงทุน คุณควรเทียบค่านี้ในอดีตว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยนั้นมีการซื้อขายเฉลี่ยที่ P/E เท่าไหร่ และสูงสุดต่ำสุดมันคือตัวเลขไหน จะได้มีกรอบในการลงทุนซึ่งผมได้ทำมาฝากครับ ลองดูรูปต่อไปนี้ได้เลย

PE 40

จะเห็นได้ว่า 40 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ P/E ประมาณ 12.50 เท่า และเคยสูงสุดที่ 29 เท่า (O_o) และต่ำสุดที่ 3.5 เท่าช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง (ซึ่งก่อนหน้านั้น 2-3 ปี มี P/E เฉลี่ย 20-25 เท่า) ตัวเลขนี้กำลังบอกเราว่า P/E ตลาดหุ้นไทยที่ 18.32 เท่านั้นแพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเกือบๆ 50% ช่วงนี้จะลงทุนหุ้นอะไรโปรดระมัดระวังครับ

ผมใส่ไฮไลต์สีให้ได้ สีเขียวคือช่วงที่ P/E ต่ำกว่าเฉลี่ยซึ่งส่วนมากมักจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นดูไม่ดีหรือหลังเกิดวิกฤต เช่น หลังปี 1999-วิกฤตต้มยำกุ้ง 2008-วิกฤตสินเชื่อซับพาร์มสหรัฐ 2011-น้ำท่วมใหญ่ ส่วนช่วงที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยจะใช้สีชมพูครับ

การที่มี P/E เฉลี่ย 12.5 มองมุมกลับคือ นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยนัน มักจะมองผลตอบแทนที่คาดหวังประมาณ 8% ต่อปี (100/12.5) ซึ่งเมื่อรวมกับผลตอบแทนเฉลี่ยของเงินปันผลที่ 3% เราจะได้ผลตอบแทนรวมของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ประมาณ 11% ซึ่งเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นระยะยาวครับ ถือว่าสมเหตุผล

ตัวเลข P/E ที่ตลาดหลักทรัพย์ใช้คำนวณนั้นมักจะเป็นตัวเลขที่ใช้ 4 ไตรมาสล่าสุดมาคิด ทำให้เป็นตัวเลขที่ผสมกับตัวเลขในอดีต แต่ผมว่ามันก็สะท้อนอะไรได้ดีกว่าการเอาตัวเลขในอนาคตมาใช้แบบที่นักวิเคราะห์ชอบพูดว่า Forward P/E ครับ แม้ตลาดหุ้นจะเป็นการลงทุนที่มองอนาคตไปข้างหน้า แต่การลงทุนจะให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ควรจะต้องตั้งอยู่บนความอนุรักษ์นิยมพอสมควร ส่วนตัวผมถือคติ อยากรู้ว่าจะได้กำไรตั้งแต่ลงทุนเท่าไหร่ มากกว่าจะหวังว่าอนาคตจะได้มากกว่านี้เท่าไหร่ ถ้าได้เกินผมถือว่าเป็นส่วนเพิ่ม (Surplus) แต่ผมมักจะสนใจมากกว่าว่าโอกาสขาดทุนหรือการวิเคราะห์ของเราผิดพลาดได้มากแค่ไหนยังไง แล้วผมก็ยังเชื่อว่าระดับ P/E ที่เหมาะสมของตลาดหุ้นไทยคือ 10-12 เท่า และระดับ 18 เท่านี้คือแพง ยิ่งถ้าคำนวณโดยใช้ Earning Yield Gap ด้วยแล้ว ก็จะพบว่ามันแพงอยู่ดีครับผม (แต่ตัวอย่างก็มีให้เห็นเหมือนกันว่า บางช่วงหลังเกิดวิกฤตที่กระทบกับการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นก็ทำให้ตัวเลข P/E สูงขึ้นมา เช่น ช่วงปี 2009 ซึ่งราคาหุ้นตรงนั้นถูกมาก ดัชนีก็ไม่สูง แต่เพราะบริษัทส่วนใหญ่ขาดทุนหรือกำไรตกต่ำทำให้ ค่า P/E สูงขึ้นมา นักลงทุนจึงควรพิจารณาประเด็นนี้ประกอบด้วย ต้องระวังการถูก P/E หลอก)

แม้จะเป็นตัวเลขง่ายๆ คำสั้นๆว่า P/E หรือ Price/Earning แต่การประยุกต์ต่อยอดนั้นสูงมากๆครับ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์สุดๆ ผลลัพธ์ไปไกลได้หลายด้านมากๆ สมมติ P/E ตลาดหุ้นตอนนี้ที่ 18

  • คนกลุ่ม A จะบอกว่าซื้อหุ้นที่ Set Index ระดับนี้เฉลี่ยแล้วจะคืนทุนที่ 18 ปี
  • คนกลุ่ม B จะบอกว่าซื้อแล้วคืนทุนไวกว่านั้น เพราะกำไรพวกนี้รวมกำไรไม่ปกติด้วย อนาคตคืนเร็วกว่านั้น อาจจะไม่ถึงหรอก
  • คนกลุ่ม C จะบอกว่าซื้อแล้วคืนทุนช้ากว่านั้น เพราะกำไรพวกนี้ไม่ปกติและมากเกินไปด้วย อนาคตคืนทุนช้ากว่าตัวเลขที่เห็น
  • คนกลุ่ม D จะบอกว่าจริงๆมันโดนผลของหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดเล็กยังเติบโตดี จริงๆตลาดยังกำไรดี คืนทุนเร็วกว่าเดิม
  • คนกลุ่ม E จะบอกว่ากำไรของ SET มาจากบริษัทขนาดใหญ่อยู่แล้วในระยะยาว แล้วทำไมจะไม่เชื่อว่าคืนทุนเท่านั้นล่ะ (คือสิบแปดปี)

เห็นไหมครับให้เซียนดูเซียนยังว่าไม่เหมือนกันเลย ขึ้นอยู่กับวิธีการ หลักการ แนวทางการลงทุนและมุมมองของแต่ละคนครับ

สำหรับผมแล้วการลงทุนมีความเสี่ยง รักษาเงินต้นเป็นเรื่องสำคัญกว่า ผมไม่ชอบขาดทุนครับ เพราะฉะนั้นตัวเลขไหนอนุรักษ์นิยมสุด จำกัดความเสี่ยงไม่คาดคิดสุด ผมเอาอันนั้นครับ  หุ้นรายตัวอาจจะต้องประเมินพื้นฐานและมองอนาคตบ้าง จึงอาจใส่สมมติฐานด้าน Forward ไปบ้าง แต่สำหรับ SET หรือตัวดัชนีตลาดหุ้น ผมใช้ P/E ปกติ จะไม่ค่อยใช้การคาดการณ์อนาคตครับ : )

PE ตลาดหุ้นไทย 40 ปี – P/E SET 40YRS

P/E (หรือ PE) เป็นอัตราส่วนทางการเงินยอดนิยมในการลงทุน ใช้สำหรับวัดความถูกแพงของหุ้นรายตัวและตลาดหุ้น โดยเปรียบเทียบระหว่าง 2 ตัวเลขสำคัญ คือ ราคา (สิ่งที่คุณจ่าย) กับ กำไร (สิ่งที่คุณได้รับ)

มีหน้าเว็บหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ที่ผมชอบเข้าดูบ่อยๆ คือ หน้า สรุปภาพรวมตลาด โดยเฉพาะส่วนล่างค่าสถิติสำคัญซึ่งอัตราส่วนทั้งหมดนี้ค่อนข้างสำคัญและผมชอบเอามาวิเคราะห์บ่อย ๆ ครับ และอัตราส่วนที่ผมชอบดูมากที่สุดคือ P/E ของตลาดหุ้น

ข้อมูล ณ 18 กันยายน 2558
ข้อมูล ณ 18 กันยายน 2558

ความคิดเบื้องต้น

ตัวเลข PE นี้เป็นตัวหลักที่นักลงทุนทุกคนควรจะเข้าใจ เพราะมันเป็นตัวเลขสำคัญที่จะบอกอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับหุ้น ตั้งแต่ระดับพื้น ๆ ไปจนถึงเชิงลึกเลยทีเดียว สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักมัน เราสามารถสรุปย่อ ๆ ได้ว่า มันเป็นตัวเลขที่บอกเราว่า ราคาที่จ่ายในการซื้อ ณ วันนี้คิดเป็นกี่เท่าของกำไรที่เราจะได้

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คุณซื้อบริษัทที่ทำกำไรได้แน่นอนมากปีละ 100 ล้าน ผ่านไปกี่ปีกำไรที่ว่านี้ก็ไม่ลดไม่เพิ่ม ยืนยันที่จะทำกำไรได้ปีละ 100 ล้านเท่านั้น ถ้าคุณซื้อมันทั้งกิจการที่ 100 ล้านพอดี ซื้อปุ๊บปีเดียวคุณก็คืนทุนล่ะ ถ้าสมมติกำไร 100 ล้านนั้นเป็นเงินสดและจ่ายให้คุณทั้งหมด แต่ถ้าตัวเลขเป็นว่าคุณจ่าย 1,000 ล้านบาทที่ระดับกำไรนี้ คุณจะต้องใช้เวลาคืนทุนยาวไปถึง 10 ปี (1,000/100)

วิธีคิด P/E จึงง่ายมาก ๆ เอาราคาตั้งแล้วหารด้วยกำไรที่บริษัททำได้ ไม่ว่าจะใช้มูลค่าตามราคาตลาดหารด้วยกำไรสุทธิ (Market Cap/Net income) หรือ ราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น (Price/EPS) ตัวเลขจะออกมาเท่ากัน ส่วนกรณีบริษัทมีผลประกอบการขาดทุน ตัวเลขจะคำนวณไม่ได้ เว็บตลาดหลักทรัพย์จะโชว์เป็น N/A

ถ้าคุณดูค่านี้ ณ วันที่ 18/09/15 ของตลาดหุ้นไทย (SET) ที่ 18.32 มันจะบอกเราว่า

  1. ที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 13.12 ล้านล้านบาท คุณกำลังซื้อที่ราคา 18.32 เท่าของกำไรที่ตลาดหุ้นไทยทำได้ประมาณปีละ 0.72 ล้านบาท หรือ
  2. ที่ดัชนีตลาดหุ้น SET 1390.32 คุณกำลังจ่ายที่ 18.32 เท่าของกำไรที่บริษัทใน SET ทั้งหมดรวมกันทำได้ 75.89 บาทต่อปี (คล้าย ๆ คำนวณจาก Price/EPS ครับ)

หลักการง่าย ๆ คือ ยิ่งตัวเลขนี้น้อยเราก็จะคืนทุนได้ไว เพราะเราจ่ายไม่แพงสำหรับกำไรของสินทรัพย์ที่เราซื้อทำได้ สมมติคุณฝากเงินในธนาคารได้ดอกเบี้ย 2% ต่อปี วิธีหาค่า PE มันก็คือ 100/2 = 50 นั่นคือ ถ้าคุณต้องการจะคืนทุนทั้งหมดด้วยการฝากเงินรับดอกเบี้ยปีละ 2% คุณต้องรอไปถึง 50 ปี !! (ยังมีใครเห็นด้วยอยู่หรือไม่ว่าฝากเงินธนาคารจะทำให้เรารวยได้)

แถมตัวเลขค่านี้ถ้าคุณกลับสัดส่วนมันจะกลายเป็น E/P ซึ่งเป็นตัวเลขของผลตอบแทนที่คุณคาดหวัง (Earnings Yield) ครับหรือมีอีกวิธีคิดหา E/P ง่าย ๆ คือ เอา 100 หารด้วย P/E เช่น ตัวเลข 18.32 แสดงว่าคุณหวังผลตอบแทนที่คาดหวังจากการซื้อหุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยวันนี้ที่ 100/18.32 = 5.46% ต่อปี (E/P = 5.46)

ทั้งนี้ การที่คุณจะตัดสินใจอะไรได้ดีขึ้นในการลงทุน คุณควรเทียบค่านี้ในอดีตว่า ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยนั้นมีการซื้อขายเฉลี่ยที่ PE เท่าไหร่ และสูงสุดต่ำสุดมันคือตัวเลขไหน จะได้มีกรอบในการลงทุน ซึ่งผมได้ทำมาฝากครับ ลองดูรูปต่อไปนี้ได้เลย

ตัวเลข PE ของตลาดหุ้นไทยในอดีต

PE-SET-40Y-AVERAGE-1975-2015

จะเห็นได้ว่า 40 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ P/E ประมาณ 12.50 เท่า และเคยสูงสุดที่ 29 เท่า และต่ำสุดที่ 3.5 เท่า ช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง (ซึ่งก่อนหน้านั้น 2-3 ปี ตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 20-25 เท่า)

ผมได้ใส่ไฮไลต์สีให้ด้วย สีเขียวคือช่วงที่ตัวเลขต่ำกว่าเฉลี่ย ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นดูไม่ดีหรือหลังเกิดวิกฤต เช่น หลังปี 1999 วิกฤตต้มยำกุ้ง หรือปี 2008 วิกฤตสินเชื่อซับพาร์มสหรัฐ หรือปี 2011 น้ำท่วมใหญ่ ส่วนช่วงที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยจะใช้สีชมพูครับ

การที่มี P/E เฉลี่ย 12.5 มองมุมกลับคือ นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น มักจะมองผลตอบแทนที่คาดหวังประมาณ 8% ต่อปี (100/12.5) ซึ่งเมื่อรวมกับผลตอบแทนเฉลี่ยของเงินปันผลที่ 3% เราจะได้ผลตอบแทนรวมของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ประมาณ 11% ซึ่งเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นระยะยาวครับ ถือว่าสมเหตุผล

ตัวเลขที่ตลาดหลักทรัพย์ใช้คำนวณนั้นมักจะเป็นตัวเลขที่ใช้ 4 ไตรมาสล่าสุดมาคิด ทำให้เป็นตัวเลขที่ผสมกับตัวเลขในอดีต แต่ผมว่ามันก็สะท้อนอะไรได้ดีกว่าการเอาตัวเลขในอนาคตมาใช้แบบที่นักวิเคราะห์ชอบพูดว่า Forward PE ครับ

แม้ตลาดหุ้นจะเป็นการลงทุนที่มองอนาคตไปข้างหน้า แต่การลงทุนจะให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ควรจะต้องตั้งอยู่บนความอนุรักษ์นิยมพอสมควร ส่วนตัวผมถือคติ อยากรู้ว่าจะได้กำไรตั้งแต่ลงทุนเท่าไหร่ มากกว่าที่จะหวังว่าอนาคตจะได้มากกว่านี้เท่าไหร่ ถ้าได้เกินผมถือว่าเป็นส่วนเพิ่ม (surplus)

ผมมักจะสนใจมากกว่าว่าโอกาสขาดทุนหรือการวิเคราะห์ของเราผิดพลาดได้มากแค่ไหนยังไง แล้วผมก็ยังเชื่อว่า ระดับตัวเลขที่เหมาะสมของตลาดหุ้นไทยคือ 10-12 เท่า และระดับ 18 เท่านี้คือแพง ยิ่งถ้าคำนวณโดยใช้ Earning Yield Gap ด้วยแล้ว ก็จะพบว่ามันแพงอยู่ดีครับผม

หากแต่ก็มีตัวอย่างให้เห็นเหมือนกันว่า บางช่วงหลังเกิดวิกฤตที่กระทบกับการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น ก็ส่งผลทำให้ตัวเลขนี้สูงขึ้นมา เช่น ช่วงปี 2009 ซึ่งราคาหุ้นตรงนั้นถูกมาก ดัชนีก็ไม่สูง แต่เพราะบริษัทส่วนใหญ่ขาดทุนหรือกำไรตกต่ำทำให้ ค่า PE ทะยานขึ้นไป นักลงทุนจึงควรพิจารณาประเด็นนี้ประกอบด้วย ต้องระวังการถูกตัวเลขหลอก

ความหลากหลายในการตีความ PE

แม้จะเป็นตัวเลขง่าย แต่การประยุกต์ต่อยอดนั้นสูงมาก ๆ ครับ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์สุด ๆ ผลลัพธ์ไปไกลได้หลายด้าน สมมติค่านี้ของตลาดหุ้นคือ 18

(1) นาย A จะบอกว่าซื้อหุ้นที่ Set Index ระดับนี้เฉลี่ยแล้วจะคืนทุนที่ 18 ปี

(2) นาย B อาจจะคิดว่าซื้อแล้วคืนทุนไวกว่านั้น เพราะกำไรพวกนี้รวมกำไรไม่ปกติด้วย อนาคตคืนเร็วกว่านั้น อาจจะไม่ถึงหรอก

(3) คนกลุ่ม C ไม่เชื่อ และมีความเห็นว่าซื้อแล้วคืนทุนช้ากว่านั้น เพราะกำไรพวกนี้ไม่ปกติและมากเกินไปด้วย อนาคตคืนทุนช้ากว่าตัวเลขที่เห็น

(4) คนกลุ่ม D จะบอกว่าจริง ๆ มันโดนผลของหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดเล็กยังเติบโตดี ทำให้ตลาดยังทำกำไรดีอยู่ อาจคืนทุนเร็วกว่าเดิม

(5) ส่วนคนกลุ่ม E จะบอกว่ากำไรของ SET มาจากบริษัทขนาดใหญ่อยู่แล้วในระยะยาว แล้วทำไมจะไม่เชื่อว่าคืนทุนสิบแปดปีล่ะ

เห็นไหมครับให้เซียนดูเซียนยังว่าไม่เหมือนกันเลย ขึ้นอยู่กับวิธีการ หลักการ แนวทางการลงทุนและมุมมองของแต่ละคนครับ ซึ่งสำหรับผมแล้วการลงทุนมีความเสี่ยง การรักษาเงินต้นเป็นเรื่องสำคัญกว่า ผมไม่ชอบขาดทุนครับ เพราะฉะนั้นตัวเลขไหนอนุรักษ์นิยมสุด จำกัดความเสี่ยงไม่คาดคิดสุด ผมเอาอันนั้นครับ  หุ้นรายตัวอาจจะต้องประเมินพื้นฐานและมองอนาคตบ้าง บางครั้งจึงมีการใส่สมมติฐานคาดการณ์ในอนาคต (Forward) ไปบ้าง แต่สำหรับ SET หรือตัวดัชนีตลาดหุ้น ผมใช้ P/E ปกติ จะไม่ค่อยใช้การคาดการณ์อนาคตสักเท่าไหร่ครับ

เจาะลึก Earning Yield Gap ตลาดหุ้นไทย

“Markets can remain irrational a lot longer than you and I can remain solvent.” 

—- John Maynard Keynes

เคยสงสัยไหมครับว่า ในเมื่อตลาดหุ้นนั้นมีทั้งช่วงที่หุ้นถูกและหุ้นแพง ถ้าเรารู้ว่าช่วงนี้หุ้นแพงเราก็ไม่ควรจะลงทุนเพราะมีสิทธิที่หุ้นจะตกลงมาหนักๆได้ แล้วปกติเขามีวิธีอะไรมาใช้วิเคราะห์กันบ้าง ผมรวบรวมมา 3 วิธีให้ทำความเข้าใจกันง่ายๆครับ

วิธีที่ 1 ดูอัตราส่วนทางการเงินของตลาดหุ้น เช่น
ดู P/E (เทียบราคาดัชนีตลาดหุ้นกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดว่าเป็นกี่เท่า) ดู P/B (เทียบราคาดัชนีตลาดหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดว่าเป็นกี่เท่า) ดู Dividend Yield (เทียบราคาดัชนีตลาดหุ้นกับเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด)

เราสามารถดูอัตราส่วนเหล่านี้แล้วเอาไปเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ผ่านมาในอดีตว่า ช่วงก่อนที่หุ้นจะตกหนักๆ อัตราส่วนพวกนี้เป็นอย่างไร ที่ทำแล้วก็มี วิธี P/E หรือ Price/Earning(Click) ส่วนอัตราส่วนอื่นขอยกยอดไปก่อนครับ

วิธีที่ 2  เทียบมูลค่าตลาดหุ้น (Market Cap) กับ GDP ถ้าสูงเกินไป เช่น 3-4 เท่าแบบนี้ถือว่ามูลค่าของตลาดหุ้นสูงกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศจนเกินไปครับ นักลงทุนกำลังจ่ายมากกว่าผลผลิตที่ทำได้ของชาติ จึงต้องระมัดระวัง (ส่วนควรระวังเมื่อเป็นตัวเลขเท่าไหร่นั้นขอยกยอดไปเขียนให้ละเอียดในบทความต่อไปครับ)

วิธีที่ 3  วิธีเทียบผลตอบแทน ณ ปัจจุบันของตลาดหุ้น (Stock Earnings) กับผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ซึ่งแทบไม่มีความเสี่ยง ( 10-Y Government Bond Yield ; risk-free rate) บนหลักการที่ว่าทุกการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนที่มีเหตุผลควรจะเทียบผลตอบแทนของหุ้นกับพันธบัตรรัฐบาลซึ่งแทบจะปราศจากความเสี่ยง สมมติว่าคุณสามารถลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนถึง 7% ต่อปีได้ แล้วทำไมคุณจะเอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนแค่ 5% ในขณะนั้นล่ะ จึงเป็นวิธีประเมินความถูกแพงตลาดหุ้นอย่างหนึ่งด้วยการเอาผลตอบแทน ณ ปัจจุบันของตลาดหุ้นมาลบด้วยผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี แล้วเทียบค่านี้กับอดีตว่าก่อนตลาดหุ้นจะตกหนักๆนั้น มักจะเป็นเท่าไหร่ เราจะได้หลบทัน หรือ ได้หาจังหวะถือเงินสดรอลงทุนที่เหมาะสม วิธีนี้ผมจะเขียนอธิบายให้ชัดเจนในบทความนี้ครับ เราลองมาดูกัน

วิธีคำนวณ EYG เราสามารถดึงข้อมูลจากเว็บตลาดหลักทรัพย์และเว็บThaiBMAสำหรับตัวข้อมูล โดยข้อมูลล่าสุด ณ 16/09/58 ตลาดหลักทรัพย์ SET มีค่า P/E ที่ 18.20 เท่า เราจะได้ ผลตอบแทนตลาดหุ้นไม่รวมปันผลที่ประมาณ 5.49% ส่วนพันธบัตรรัฐบาลอายุใกล้เคียง 10 ปีให้ผลตอบแทนที่ 3% เรานำมาหักลบกันก็จะได้ Earning Yield Gap ปัจจุบันที่ 2.49% ครับ

คำถามคือแล้วในอดีตเป็นเท่าไหร่? ผมได้ลองดึงข้อมูลรายเดือนของทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ระหว่างปี (Jan)2001 – (Aug)2015 มาหาค่าเฉลี่ยดู พบว่าค่าเฉลี่ย EYG ของไทยในช่วงประมาณ 15 ปีที่ผ่านมาคือ 4.75% ครับ ดังรูปด้านล่างนี้

eyg

ข้อสังเกตคือ ช่วงที่ EYG เหนือกว่าค่าเฉลี่ยนั้น (มากกว่า 4.75) ผมไฮไลต์ให้เป็นสีเขียว ซึ่งจะพบว่ามีช่วงหลักๆที่น่าสนใจ คือ ระหว่างปี 2001 – 2003 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง และหุ้นช่วงนั้นมีราคาที่ถูกเอามากๆ ช่วงต่อมาคือช่วงปลายปี 2008 – ต้นปี 2009 นั่นคือ หลังจากเกิดวิกฤต Subprime ของอเมริกานั่นเอง และทำให้ตลาดหุ้นไทยตกลงไปเกือบ 50% และช่วงสุดท้ายที่ผมอยากให้สังเกต คือ ปลายปี 2011 ครับ ถ้าจำกันได้ช่วงนั้นคือ เวลาที่ประเทศไทยเจออุทกภัยน้ำท่วมใหญ่นั่นเอง เมื่อไรที่พบว่า EYG พุ่งไปเกิน 5% โดยเฉพาะเวลาที่เกิน 10% ด้วยแล้ว บอกได้เลยว่านี่คือโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตของนักลงทุนที่จะได้หุ้นในราคาที่ถูกและสร้างผลตอบแทนมหาศาลในเวลาต่อๆมา ห้ามพลาดกันเลยทีเดียว

ข้อสังเกตถัดมา แม้จะใช้คำว่าค่าเฉลี่ย EYG ที่ 4.75 แต่ถ้าลองดูดีๆเราจะพบว่าช่วงเวลามากกว่าครึ่งนั้น หุ้นตกอยู่ในภาวะที่ EYG ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งสิ้น และคงจะเห็นกันได้ทุกคนว่าตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน Sep-2015 ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนตลาดหุ้นกับพันธบัตรนั้นต่ำมาก ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมหุ้นสองสามปีมานี้ผันผวนสุดฤทธิ์ นั่นก็เพราะ EYG กำลังบอกให้คุณรู้ว่า ในเวลานี้หุ้นอยู่ในช่วงที่แพงกว่าปกติ การซื้อหุ้นตอนนี้เท่ากับกำลังจะจ่ายแพงสำหรับผลตอบแทนที่ได้รับ เพราะฉะนั้น นักลงทุนทุกคนพึงระวัง!

อยากจะฝากไว้อีกนิดว่า ใครที่คิดว่า เฮ้ย เดี๋ยวฉันก็เก็บเงินไว้รอช่วงเวลาหุ้นถูกจริงค่อยซื้อไม่ดีกว่าหรือ ผมอยากจะให้มองย้อนไปดีๆครับ เห็นช่วงปลายปี 2009 เป็นต้นมาไหมครับ การถือเงินสดรอไว้เพื่อให้หุ้นตกหนักๆจะทำให้คุณพลาดที่จะมีหุ้นมาตั้งแต่ตอนนั้นตอนที่ SET Index อยู่ที่ 500 จุดและปัจจุบันคือ 1,300 – 1,400 จุด ถ้าเจาะหุ้นรายตัวลงไป ต้นทุนการสูญเสียมีมหาศาลครับ ถ้าคุณคิดจะลงทุนยาวๆจริงๆ เชื่อคำว่า Stock For the Long Run ดีกว่า คือถ้ามันยาวถึง 30-40 ปี คุณลงทุนนานขนาดนั้น การ Timing หรือจับจังหวะลงทุนแทบไม่มีประโยชน์เลย การลงทุนแบบ Lump Sum หรือลงเงินก้อนแล้วถือยาวไปสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามากๆ ที่สำคัญที่ผมอยากย้ำคือ บางทีมันลงมาถึงจุดที่ EYG สูงแล้วๆ แต่ภาวะรอบตัวจะกลายเป็นว่าหุ้นตกมารุนแรงมาก สุดท้ายคุณก็แพ้ใจตัวเองไม่กล้าลงทุนอยู่ดี ต้องระวังตรงนี้ด้วย นักลงทุนหลายๆคนมีความรู้ แต่พอถึงเวลาลงสนามจริงกลับไม่มีวินัย ผลตอบแทนก็ไม่ดีครับ

ประโยชน์ของ EYG จริงๆที่ผมอยากจะให้เข้าใจคือ มันจะทำให้คุณสามารถตระหนักและชะลอความหน้ามืดที่จะลงทุนหุ้นหนักๆในช่วงภาวะหุ้นแพงๆครับ มันทำให้คุณสามารถดึงกำไรบางส่วนออกมาได้ ในความเห็นของผมคือ สมมติถือหุ้น 100% ถ้า EYG มันต่ำจริงๆ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากๆ เช่น อยู่ที่ 2-3% คุณอาจลดหุ้นไปซื้อพันธบัตรหรือตราสารหนี้แทน โดยให้มันเหลือแค่ 50-60% แบบนี้ก็ได้ครับ แต่ผมว่าระยะยาวเราไม่ควรถือหุ้นต่ำกว่า 40-50% ให้มั่นใจยังไงก็ไม่ควรขายทิ้งไปทั้งหมด เพราะบางทีก็อย่างที่จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ เคยพูดไว้ครับ ว่าตลาดสามารถไร้เหตุผลได้นานเกินกว่าคุณจะทนได้ บางทีตลาดหุ้นว่าแพงแล้ว มันก็แพงไปอีกเรื่อยๆ และพอมันตกลงมาก็ไม่กลับมาจุดเดิมล่ะ คล้ายๆ ดัชนีดาวน์โจนส์ของอเมริกาที่สมัยก่อนอยู่ที่ 1,000 จุด ตอนนี้อยู่ที่ 17,000 จุด และมันก็ไม่มีทางอีกแล้วที่จะกลับไปจุดเดิม ถ้าเราเอาแต่รอเราอาจจะต้องรอเก้อ เรียกได้ว่าตกรถไฟของจริงเลยทีเดียว ต้องประยุกต์ใช้ให้ดี

(ทั้งนี้เพื่อสาธิตวิธีประยุกต์ใช้ ทำให้การวิเคราะห์ EYG นำไปสู่ Project”B” ของผมที่จะลองใช้มันผสานกับวิธี Asset Allocation ทั่วไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนครับ สามารถตามไปศึกษาได้เลย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับผม ^^)