พอถึงช่วงเวลาสิ้นปีได้วนมาครบบรรจบอีกรอบ เหล่าผู้มีรายได้ก็จะเริ่มมองหาการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF เพื่อลดหย่อนภาษี ด้วยสรรพคุณที่จำง่าย ซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปี ซื้อแล้วถือยาว 7 ปี และซื้อปีไหนก็ได้ไม่บังคับซื้อทุกปี (อันนี้คือเงื่อนไขภาษีคร่าวๆนะครับ) ทำให้มันเป็นเครื่องมือวางแผนภาษีที่ใครๆหลายคนเลือกเป็นตัวเลือกแรกๆ แต่ทว่าคนส่วนใหญ่จะมองแค่ว่ามันลดภาษีได้เป็นหลัก หลายๆคนก็เลยปาลูกดอกเล่น ซื้อกองทุน LTF เจ้าไหนก็ได้เอาฉันสะดวกพอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดครับ!
LTF คือ กองทุนรวมที่ลงทุนใน “หุ้น” ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยหรือ “SET” ดังนั้น การถือครองถึง 7 ปีย่อมทำให้ผลตอบแทนของกองทุนสะท้อนผลตอบแทนหุ้นได้อย่างดี (จากสถิติคำนวณย้อนหลัง 2002 – พฤศจิกายน2015 Rolling Return ของผลตอบแทนตลาดหุ้นรวมเงินปันผลอยู่ที่ 13.5% กว่าต่อปี หมายความว่า ถ้าคุณลงทุนในหุ้นวันไหนก็ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แล้วถือยาวถึง 7 ปี ผลตอบแทนที่ได้รับจะเฉลี่ยอยู่ที่ 13.5% ต่อปี และที่น่าสนใจคือ ค่าต่ำสุดของผลตอบแทนคือ 5.1% นั่นหมายความว่า ในช่วงเวลาที่ทดสอบย้อนหลังนั้น การถือครองหุ้นทั้งตลาดเป็นเวลา 7 ปี ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกตลอด ไม่ขาดทุน โดยคุณสามารถลงทุนอย่างเรียบง่าย สบายๆ เพียงแค่ลงทุนหุ้นทั้งตลาดแล้วถือครองให้ยาวพอ ด้วยวิธีที่ดีที่สุดในการจะทำแบบนี้ คือ ซื้อ ” Index Fund” หรือกองทุนดัชนี
คำถามก็คือ ถ้าเราเลือกลงทุน LTF โดยใช้ Active Funds หรือกองทุนที่จ้างผู้จัดการกองทุนมาเลือกหุ้นให้ ในเวลา 10 ปีย้อนหลังที่ผ่านมามีกี่กองที่ทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น(รวมเงินปันผลทบต้น)
จากการดึงข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2015 ย้อนหลังไป 10 ปี เราจะได้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นรวมเงินปันผลทบต้น (SET Index Total Return หรือ “SET TR”) ที่ 11.79% ต่อปี ในขณะที่ กองทุน LTF ที่ตั้งเกิน 10 ปีมาแล้วมี 26 กองทุน ผลตอบแทนเฉลี่ยของพวกเขาคือ 10.21% (สูงสุด 15.65% ต่ำสุด 4.2%) ซึ่งจะมีเพียง 6 กองทุนจาก 26 กองที่ชนะ SET TR หรือคิดเป็น 22% เท่านั้น หมายความว่า กองทุนประมาณ 80% ทำผลตอบแทนได้น้อยกว่าตลาดหุ้น โดยน้อยกว่าเฉลี่ย 1.58% ต่อปี !!!! หรือทำผลตอบแทนได้เพียง 86.5% ของผลตอบแทนรวมตลาดหุ้น

จากข้อมูลข้างบน เราจะตั้งข้อสังเกตกันได้อีกครับ ถ้าเราซื้อกองทุนดัชนีที่ใกล้เคียงที่สุด คือ กรุงศรีหุ้นระยะยาว SET50 ซึ่งได้ผลตอบแทน 9.8% ต่อปี ก็ยังห่างจากผลตอบแทน SET TR ถึง 1.99% ต่อปี และทำผลตอบแทนชนะกองทุนได้เพียงแค่ 10 กองทุน (ชนะประมาณ 40% ของกองทุนทั้งหมด) ซึ่งผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า แม้ผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นจะชนะกองทุนได้กว่า 80% แต่กองทุนดัชนีที่เลียนแบบตลาดหุ้นกลับชนะได้น้อยกว่ามากๆ นั่นก็เพราะเหตุผลเดียวคือ ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม (Total Expense Ratio) ครับ นั่นคือ ถ้ากองทุนดัชนีพวกนี้คิดค่าใช้จ่ายน้อยลงจะทำให้โอกาสที่พวกมันจะชนะกองทุนบริหารทั้งหลายนั้นสูงขึ้นมาก
การที่กองทุน Active Funds (LTF) ส่วนใหญ่แพ้ตลาดหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทางตะวันตกครับ ซึ่งได้พิสูจน์กันมาแล้วว่า ระยะยาว กองทุนบริหารที่คัดเลือกหุ้นมีน้อยมากที่ระยะยาวจะทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น ยิ่งกองดัชนีในต่างประเทศ อย่างเช่น ของประเทศสหรัฐอเมริกา คิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนเพียงปีละ 0.05% ต่อปียิ่งทำให้พวกมันทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงตลาดหุ้นจริงๆ จึงทำให้พวกกองทุนบริหารกว่า 70-80% ไม่สามารถทำผลตอบแทนดีกว่าพวกมันได้
ประเด็นสั้นๆ 1 บรรทัดที่สำคัญคือ ในระยะยาวนั้น
“ค่าใช้จ่ายบ่งบอกผลตอบแทนที่คุณจะได้รับในอนาคตมากที่สุด”
เพราะในระยะยาวมีกองทุนน้อยมากที่จะทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น คุณแทบจะทำนายไม่ได้เลยว่าอีก 20-30 ปีข้างหน้ากองทุนไหนจะทำผลตอบแทนได้ที่ 1 หรือ 2 เพราะฉะนั้นการมานั่งเสียเวลาไปกับการไล่ล่าหากองทุนที่ผลตอบแทนดีเป็นการเปล่าประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เชื่อลองดู 5 ปีล่าสุดก็ได้ครับ
5 ปีล่าสุดนั้น ผลตอบแทนของกองทุน LTF เฉลี่ยอยู่ที่ 7.52% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนของ SET TR อยู่ที่ 10.39% ต่อปี ส่วนต่างคือ -2.87% ต่อปี หรือเท่ากับว่ากองทุน LTF ส่วนใหญ่ทำผลตอบแทนหายไปซึ่งคิดเป็น 27% ของผลตอบแทนตลาดหุ้นที่คุณควรจะได้รับครับ และมีเพียง 11 จาก 52 กองทุนเท่านั้นที่ชนะ SET TR (เท่ากับว่ามีแค่ 20.8%จากทั้งหมดที่สามารถชนะตลาดหุ้นได้)โดยลำดับก็ไม่เหมือนเดิมกันด้วย เพราะ 6 กองทุนที่ชนะ SET TR ของ 10 ปีที่แล้ว โผล่มาชนะในรอบ 5 ปีนี้แค่ 4 กองทุนเท่านั้น
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองทำแบบ 3 ปีย้อนหลังบ้างครับ คราวนี้มี LTF แค่ 10 กองเท่านั้นที่ทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้น ( ประมาณ 80% ของกองทุนจาก 52 กองทุนพ่ายแพ้กับตลาดหุ้นอีกแล้ว) โดยผลตอบแทนของกองทุน LTF เฉลี่ยครั้งนี้อยู่ที่ 3.42% ต่อปี ในขณะที่ SET TR อยู่ที่ 5.15% นั่นคือ ส่วนต่างความพ่ายแพ้ครั้งนี้อยู่ที่ 1.73% ต่อปีครับ หรือกองทุน LTF ส่วนใหญ่ทำผลตอบแทนได้เพียงแค่ 66.4% จากที่ตลาดหุ้นทำได้ (ขออนุญาตไ่ม่ใส่รูปครับ)
มาถึงตรงนี้ เราก็ได้ตัวเลขสักทีว่า กองทุนที่มีผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลังชนะตลาดหุ้น ซึ่งมีทั้งหมด 6 กองทุนนั้น มี 4 กองทุนที่สามารถชนะตลาดหุ้น 5 ปีย้อนหลังได้ และเหลือแค่ 3 กองทุนเท่านั้นที่ชนะในช่วงเวลา 3 ปีย้อนหลัง ซึ่งใน 3 กองนี้มีเพียงแค่กองเดียวที่ชนะ ทั้งช่วงเวลา 10 ปี 5 ปี 3 ปี แถมถ้าทำการติดตามต่อในปีล่าสุด (2015) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีล่าสุด กองดังกล่าวได้แพ้ตลาดหุ้นไปเรียบร้อยยยย
ผมกำลังจะชี้ให้เห็นครับว่าในระยะยาวแล้ว ไม่มีผู้ชนะในวงการกองทุนรวมหุ้นที่ถาวร ทุกช่วงเวลาจะมีกองทุนกลุ่มหนึ่งที่ชนะตลาดหุ้นแล้วก็จะกลับมาแพ้ หรืออาจจะหายไปเลย การมานั่งไล่หาว่ากองทุนไหนชนะตลาดหุ้นในปีนี้ ปีหน้า 3 ปี 5 ปี 10 ปีข้างหน้า เสียเวลาเปล่าๆครับ ทางเลือกที่ดีที่สุดที่พิสูจน์กันมาแล้วในฝั่งตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว คือ “ลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด” (Stay invest & Stay hold index fund)
ซึ่งตรงนี้บ้านเรามี LTF กองดัชนีค่าใช้จ่ายต่ำสุดก็ประมาณ 0.7-0.8% ซึ่งยังถือว่าค่อนข้างสูง ทำให้มันยังไม่สามารถโชว์ผลตอบแทนที่โดดเด่นออกมาได้ แต่ SET TR ได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่า กองทุนผู้ชนะตลาดหุ้นในระยะยาวนั้นหาได้ยากมาก ยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งงมยากเหมือนเข็มในกองฟาง จึงได้แต่หวังว่าสักวันจะมีบลจ.สักที่ที่คิดค่าใช้จ่ายกองทุนรวมดัชนีต่ำๆ เพื่อประโยชน์ของนักลงทุนครับ
วัตถุประสงค์สำคัญในการเขียนบทความนี้ของผมขึ้นมาก็คือ อยากให้นักลงทุนได้รับรู้ข้อมูลว่าจริงๆแล้ว “กองทุนหุ้นโดยส่วนใหญ่ในระยะยาวทำผลตอบแทนได้แพ้ตลาดหุ้น” แม้แต่กองทุนที่ชนะตลาดหุ้นในวันนี้ อนาคตก็อาจจะแพ้ได้ เพราะมันวกกลับสู่ค่าเฉลี่ย “Reversion to the Mean” (RTM)
ซึ่งปัจจัยสำคัญอันแรก ก็คือ กองทุนไม่สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเกินได้ อาจจะมาจากฝีมือการคัดเลือกหุ้นที่พลาดไป หรือ เพราะความมีประสิทธิภาพของตลาดหุ้นเองทำให้การชนะมันเป็นเรื่องที่ลำบาก
ผสมกับปัจจัยที่สองที่สำคัญกว่า นั่นคือ
“ระยะยาวแล้วค่าใช้จ่ายรวมของกองทุนทำลายผลตอบแทนของนักลงทุนมากที่สุด”
เพราะต่อให้ผู้จัดการกองทุนทำผลตอบแทนได้ชนะตลาดหุ้นถึงปีละ 1.2% แต่ถ้าค่าใช้จ่ายรวมต่อปีของกองทุนคือ 2-3% ต่อปี ยังไงก็แพ้ตลาดหุ้นอยู่ดีครับ
ถ้าระยะยาวตลาดหุ้นทำผลตอบแทนได้ประมาณ 10% ต่อปี การที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายกองทุนปีละ 2-3% ต่อปี เท่ากับว่าคุณต้องเสียผลตอบแทนที่ควรได้รับไปถึง 20-30% เลยทีเดียว
บนโลกการลงทุนสมัยนี้ที่ใครๆก็พยายามจะหาวิธีเลือกกองทุนหุ้นอย่างเช่น LTF ที่มีผลตอบแทนสูงสุด ไล่ล่าเสียเวลาไปกับการนั่งติดตามการจัดอันดับ คำแนะนำคือ เราไม่ควรทำแบบนั้นตามฝูงชน ครับ
สำหรับแนวทางในการลงทุน LTF จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า
A) ลงทุนในกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีสม่ำเสมอ และเราสบายใจในการถือ
B) เชื่อมั่นในกองทุนดัชนีโดยเลือกลงทุนในกองที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด
เพราะทั้งนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะวัดว่าระยะยาวผลตอบแทนของนักลงทุนจะดีหรือไม่ อย่างเช่น การอดทนถือกองทุนให้ได้ยาวๆ เกิน 10 ปีขึ้นไป, การมีวินัยในการซื้อกองทุน ฯลฯ เพียงแต่ว่าบันไดก้าวแรกควรจะต้องรู้ตัวเองก่อนครับว่า การเสียเวลาไปกับการหากองทุนร้อนแรง การนั่งดูผลตอบแทนย้อนหลัง การนั่งฟังคนขายพูดถึงผลตอบแทนล่าสุด หรืออ่านบทความแนะนำกองนู้นนี่นั้น เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่าๆ เพราะ Past Performance ผลตอบแทนย้อนหลัง ทำนายอนาคตแทบจะไม่ได้เลย ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ เราจะได้เลิกนั่งติดตามกองทุนต่างๆ และเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นที่ส่งผลดีกับการลงทุนของเราครับผม ^^
บทความนี้เขียนขึ้นโดยต้องการให้ความรู้กับนักลงทุน และไม่มีวัตถุประสงค์ในการชี้ชวนหรือแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด