กองทุนดัชนี ในไทย (Index Funds in Thailand)

กองทุนดัชนี (Index Funds)

ในประเทศไทยนั้น ถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์กองทุนรวม (mutual funds) กองทุนดัชนี กองแรกน่าจะเป็น SCBSET ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งลงทุนเลียนแบบดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) โดยออกกองทุนมาตอนปี พ.ศ. 2539 ส่วนกองทุนรวมที่เลียนแบบดัชนี SET50 กองแรกคือ TMBSET50 ของบลจ.ทหารไทยในปี พ.ศ. 2544 ครับ ก็เกือบ 20 กว่าปีแล้วที่เกิดกองทุนรวมดัชนีในไทยขึ้นมา

ปรับปรุงบทความ 22/07/62

1. ดัชนีที่ กองทุนดัชนี ในไทยนิยมเลียนแบบ

ดัชนีที่เป็นที่นิยมเลียนแบบของ กองทุนดัชนี ในไทย คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ซึ่งถือว่าดีครับ เพราะเกณฑ์ในการคำนวณและคัดเลือกบริษัทเข้ามาประกอบดัชนีนั้น ใช้หลักการคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weight) (ดูรายละเอียด)

โดยสรุปคร่าว ๆ ก็คือ ดัชนีประเภทนี้จะเป็นดัชนีแบบกระจายฐานกว้าง (broad-based) มีหุ้นหลายตัวประกอบกันโดยเรียงตามขนาดมูลค่าบริษัท (market cap) บริษัทไหนมีขนาดใหญ่ก็จะมีน้ำหนักในการลงทุนมากกว่า และการเปลี่ยนแปลงราคาในแต่ละวันก็จะทำการปรับมูลค่าใหม่ล่าสุดให้กับหลักทรัพย์แต่ละตัวเองครับ ถ้าหุ้นตัวนั้นมีมูลค่าตลาดตกลงมา น้ำหนักของมันในดัชนีก็จะลดน้อยลงไปอัตโนมัติ ทำให้ผู้จัดการกองทุนแทบจะไม่ต้องมายุ่งในการซื้อขายปรับเปลี่ยนสัดส่วนแต่อย่างใด

ด้วยเหตุนี้ ดัชนี SET Index จึงเป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นที่ทำการเข้าซื้อและถือยาวได้ง่ายที่สุด (buy-and-hold strategy) และจะประกอบด้วยหุ้นหลากหลายตัวทำให้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ในไทยนั้นหลัก ๆ ก็จะมี ดัชนี SET, SET50, SET100 โดยตัวเลข 50-100 ก็คือจำนวนหุ้นที่จะต้องเลียนแบบครับ

ยกตัวอย่าง ดัชนี SET50 โดยปกติมูลค่าของมันก็จะมีน้ำหนักประมาณ 70-75% ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งค่อนข้างคล้ายกับ ดัชนี the S&P500 ที่มีน้ำหนักประมาณสามในสี่ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐ กองทุนที่เลียนแบบมักจะทำได้ไม่ยาก ทำให้สามารถจะ copy ลงทุนหุ้นได้ครบ (full replication)

ส่วนดัชนี SET100 นั้น กองทุนอาจจะมีหุ้นไม่ถึง 100 ตัว หรือกรณีเลียนแบบ SET ยังไงก็คงลงทุนไม่ครบ 500-600 ตัวแน่ ๆ เพราะหุ้นตัวเล็ก ๆ สภาพคล่องในการซื้อขายยิ่งต่ำ หากแต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เขาสามารถใช้วิธีปรับสัดส่วนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีได้โดยไม่ต้องมีหุ้นทุกตัวครบ คือ อาจจะคำนวณโดยใช้โปรแกรมว่าต้องเพิ่มลดน้ำหนักของหุ้นตัวไหนจึงจะใกล้เคียงกับการลงทุนตามดัชนีนั้น ๆ มากที่สุด (optimization)

ข้อมูลผมอาจจะตกหล่น แต่เท่าที่สำรวจดู ข้อเสียอย่างหนึ่งของกองทุนรวมโดยเฉพาะกองทุนเปิดในบ้านเรานั้น ไม่มี กองทุนดัชนี สินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น กองทุนดัชนีตราสารหนี้ กองทุนดัชนีอสังหาริมทรัพย์ มาเป็นตัวเลือกให้นักลงทุน (ต่างประเทศมีและนิยมมากด้วย) ก็จะต้องทำการรอคอยกันต่อไปว่า บลจ. เจ้าไหนจะเข็นมันออกมาก่อน

2. แนวทางลงทุนกองทุนดัชนี 

ด้วยความครบครันของดัชนี SET Index ไม่ว่าจะมีลักษณะตามเกณฑ์ market cap-weighted, เป็น broad-based index จึงทำให้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี (broad diversification) และอย่างดัชนี SET50 นั้นลงทุนตามได้ง่าย ลงทุนหุ้นครบทั้ง 50 ตัวได้ด้วยวิธี full replication ซึ่งจะทำให้กองทุนสามารถคิดค่าใช้จ่ายต่ำ ๆ ได้ ทำให้กองทุนดัชนีในไทยเราที่เป็น กองทุนดัชนีหุ้น SET50 จึงค่อนข้างจะเหมาะสมในการถือครองระยะยาว ประเด็นนี้ค่อนข้างคล้ายกับกองทุนดัชนีหุ้นสหรัฐที่มักจะนิยมเลียนแบบดัชนี the S&P 500

อนึ่ง กองทุนดัชนีที่เหมาะสมจะลงทุนนั้น ยังต้องคำนึงถึง ค่าใช้จ่าย เป็นสำคัญ จะต้องมีค่าใช้จ่ายรวมที่ต่ำมาก ยิ่งต่ำเท่าไหร่ยิ่งดี (lower or lowest-cost index funds)

ยิ่งสมมติคุณลงทุนกองทุนดัชนี SET50 ก็ในเมื่อทุกอย่างมันเหมือนกันหมด กองทุนที่เลียนแบบดัชนี SET50 ต้องลงทุนหุ้นทุกตัวเหมือนกัน ต้องทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี SET50 เมื่อมันไม่มีความต่าง คุณจึงควรเลือกกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่าย ต่ำที่สุด ครับ

นอกจากนี้ กองทุนดัชนีไม่ควรมีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ เช่น ไม่ควรมีธรรมเนียมในการซื้อขาย (no-load) แต่ถ้าเป็นค่าใช้จ่ายที่เก็บเข้ากองทุนประเภทค่าใช้จ่ายในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ (transaction fees) แบบนี้ยอมรับได้

อีกประเด็นคือ นักลงทุนควรลงทุนระยะยาวในกองทุนหุ้นอย่างน้อย 7-10 ปีขึ้นไป ดังนั้น นักลงทุนย่อมไม่ควรลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีนโยบายในการจ่ายปันผล (ดูข้อเสีย)

ข้อมูลด้านล่างนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลกองทุนดัชนีหุ้นไทย โดยจะตัดกองทุนเปิดดัชนีที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลทิ้งไป เช่น TMB50DV, T-SET50 และบางกองทุนที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายรวมทุกอย่างสูงเกิน 1% ไปมาก หรือบางกองที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่ำเกินไป เช่น ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ที่มีโอกาสอาจจะถูกปิดหรือเลิกกองทุน

อนึ่ง นักลงทุนต้องระวังกองทุนรวมที่มีคำว่า SET50, SET100 แต่ไม่ใช่กองทุนดัชนีนะครับ เช่น 1AMSET50, KFENSET50 พวกนี้เป็น actively managed funds ไม่ใช่กองทุนดัชนีแบบเชิงรับแท้ (passive index funds) 

ข้อมูลด้านล่างนี้เก็บรวบรวมมา ณ วันที่ 22/07/2562 ก็จะพยายามอัพเดตอย่างน้อยทุกครึ่งปีครับ

(1) ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ (fee in-out) คือ คือค่าใช้จ่ายเวลาเราซื้อหรือขายกองทุนซึ่งทำให้กองทุนมีการเคลื่อนไหวเพราะเงินเราไหลเข้าออก กองทุนจึงเก็บค่าใช้จ่ายจากเราโดยตรง จะได้ไม่กระทบกับเงินลงทุนของคนอื่นที่เขาไม่ได้มาซื้อขายกับเราด้วย ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือก็เก็บเข้ากองทุน ทำให้ค่าใช้จ่ายตัวนี้โอเคและสมเหตุสมผลในการเก็บครับ

(2) ค่าธรรมเนียม (Load – front, back) คือค่าธรรมเนียมซื้อ-ขายกองทุน ซึ่งกองทุนดัชนีที่ดีไม่ควรมีพวกนี้ครับ (no-load)

(3) Expense Ratio (Total expense ratio – TER) เป็นอัตราค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนรวม ซึ่งคิดรวมแล้วทั้งค่าธรรมเนียมบริหารจัดการกองทุน ค่าดูแลกองทุน ค่านายทะเบียน และค่าใช้จ่ายอื่นอันแสนจะยิบย่อย (-_-“) ผลตอบแทนส่วนใหญ่ในระยะยาวของเราจะหายก็เพราะตัวนี้ครับ สำคัญมาก (ตัวเลขที่เอามาคือเป็นตัวเลขรวมภาษี บางกองทุนโชว์ก่อนภาษีผมก็ทำการเหมาคร่าว ๆ โดยคูณ 1.07 เข้าไป)

(4) Turnover rate expense คือ ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เกิดจากการที่กองทุนทำการซื้อขายหุ้นของกองทุน หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นจากการหมุนเวียนซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุน เพราะทุกครั้งที่กองทุนมีการเคลื่อนไหว มีการซื้อขายหุ้นในพอร์ตก็จะต้องจ่ายค่าคอมให้โบรกเกอร์ทั้งหลาย ซึ่งปกติมันควรจะน้อยครับเพราะส่วนใหญ่กองทุนพวกนี้ก็ควรจะถือหุ้นยาว

หากท่านไม่เข้าใจเรื่องค่าใช้จ่ายของกองทุนรวมที่กล่าวไปข้างบน ทุกท่านควรจะอ่านและทำความเข้าใจให้ดีกับรายละเอียดของค่าใช้จ่ายแต่ละตัวตามบทความนี้ >> ค่าใช้จ่ายของกองทุนรวม

ช่องสุดท้าย คือ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่เราจะได้รับในท้ายที่สุด ดูไว ๆ ช่องนี้ได้เลย 

Annotation 2019-07-22 191347

* Class E เป็นกองทุนที่ทางบลจ.ไทยพาณิชย์กำหนดให้ซื้อผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตหรือดิจิตัลเท่านั้น โดยจะยกเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ แต่จะมีเงื่อนไขว่าห้ามซื้อกองทุนพวกนี้เกิน 1 ล้านบาท หรือลงทุนไปแล้ว ถ้ามูลค่าเงินลงทุนของเงินกองทุน Class E ทุกกองที่ลงทุนไปเติบโตไปเกิน 1 ล้านบาท ก็จะซื้อเพิ่มอีกไม่ได้ รายละเอียดโปรดดูที่เว็บไซต์ของทาง บลจ.ไทยพาณิชย์ เองนะครับ

จากรูปข้างบนนั้นก็จะเห็นได้ว่า กองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายรวมต่ำที่สุด ณ ปัจจุบัน คือ พวกกองทุน Class E ของบลจ.ไทยพาณิชย์ (0.10-011%) แต่ถ้าไม่นับ Class E ก็จะเป็นกองทุน K-SET50 (0.57%) ของค่ายบลจ.กสิกร

ส่วนหมวดกองทุนประหยัดภาษีนั้นต่ำสุดในหมวด LTF คือ KLTF50 (0.76%) ถ้าเป็นหมวด RMF ก็คือ SCBRMS50 (0.69%) ครับ

ต้องเข้าใจว่าต่อให้ต่ำสุดในหมวดนั้นแต่ถ้าค่าใช้จ่ายเกิน 1% ต่อปี กองทุนดัชนีกองนั้นก็จะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ครับ มันต้องรวมกันสองอย่างคือ เป็น “กองทุนดัชนี” และต้องมี “ค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด” 

* Class E เป็นกองทุนที่ทางบลจ.ไทยพาณิชย์กำหนดให้ซื้อผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตหรือดิจิตัลเท่านั้น โดยจะยกเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ แต่จะมีเงื่อนไขว่าห้ามซื้อกองทุนพวกนี้เกิน 1 ล้านบาท หรือลงทุนไปแล้ว ถ้ามูลค่าเงินลงทุนของเงินกองทุน Class E ทุกกองที่ลงทุนไปเติบโตไปเกิน 1 ล้านบาท ก็จะซื้อเพิ่มอีกไม่ได้ รายละเอียดโปรดดูที่ เว็บไซต์ของทาง บลจ.ไทยพาณิชย์ เองนะครับ

ค่าใช้จ่ายที่ควรจะเป็นและความหวัง

ถามว่าค่าใช้จ่ายกองทุนดัชนีในบ้านเรานั้นต่ำหรือยัง คำตอบคือยังครับ ค่าเฉลี่ยจริง ๆ ค่าใช้จ่ายรวมไม่ควรเกิน 0.5% ควรจะต่ำกว่านี้ ลองดูกองทุนดัชนีของสหรัฐก็จะอยู่ที่ 0.1 – 0.3% ต่อปีครับ (ต่ำสุดเลยคือ 0.05%!) แต่ถามว่าค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดของกองทุนดัชนีหุ้นไทย ต่ำ ๆ ก็อยู่ที่ 0.6 – 0.8% ต่อปี ก็ถือว่าน้อยกว่าเกือบ 2-3 เท่าของค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปหากลงทุนในกองทุนบริหารจัดการที่คัดเลือกหุ้นรายตัว (actively managed funds) ครับ

ค่าเฉลี่ยที่ผมเคยสำรวจนั้น กองทุนบริหารจัดการในไทยมีค่าใช้จ่ายหลักและค่าใช้จ่ายแฝงรวมกันประมาณ 1.75 – 2.50% ต่อปีเลยทีเดียว ระยะยาวส่วนต่างพวกนี้จะถ่างผลตอบแทนออกเยอะมากครับด้วยพลังแห่งดอกเบี้ยทบต้น

แล้วถามว่ากองทุนรวมในไทยที่เป็นกองทุนบริหารทำผลตอบแทนได้แย่กว่าดัชนีหรือตลาดหุ้นหรือไม่ โปรดลองอ่านบทความเหล่านี้ครับ มายาคติและการเสียเวลาดูผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนรวม และ ผลตอบแทนของหุ้นและตลาดหุ้น แล้วจะเห็นว่ากองทุนผู้ชนะตลาดหุ้นอย่างสม่ำเสมอนั้นมีน้อยจริง ๆ และผู้ชนะในวันนี้ก็อาจจะเป็นผู้แพ้ในวันหน้าได้

นอกจากนี้ นักลงทุนก็ไม่มีวิธีไหนทำนายได้ด้วยว่า กองทุนไหนจะเป็นที่หนึ่งในอีก 20-40 ปีข้างหน้า โดยปกติการเสียเวลามานั่งหากองทุนบริหารที่จะเป็นผู้ชนะ มักจะเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ผลตอบแทนด้อยลงครับ

Searching for superior active funds is an inferior strategy.“— Richard A. Ferri

3. กองทุนดัชนีที่ลงทุนดัชนีหุ้นต่างประเทศ

มีกองทุนดัชนีอีกประเภทในไทยที่ส่วนตัวผมอยากเตือนให้นักลงทุนระวังคือ กองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ (Foreign Investment Fund – FIF) ไม่ว่าจะเป็น Fund of Funds หรือ Feeder Fund พวกนี้มีการเก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่แพงมาก และเก็บซ้ำซ้อนจนลดทอนผลตอบแทนที่นักลงทุนควรได้ จนอาจไม่คุ้มค่าในระยะยาวที่จะลงทุนครับ

ยกตัวอย่าง กองทุนที่ลงทุนในดัชนีหุ้นต่างประเทศ เช่น ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น นักลงทุนซื้อตอนแรกก็โดนค่าธรรมเนียมขาย (front-load) ไป 1.0 – 1.5% กองทุนพวกนี้เอาเงินท่านไปซื้อ ETF ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 0.3 – 0.4% ต่อปี แล้วกองทุนในไทยยังเก็บค่าใช้จ่ายท่านซ้ำอีก เช่น บางเจ้าเก็บปีละ 1.0 – 1.5% ต่อปี สรุปแล้วปีแรกท่านก็เสียค่าใช้จ่ายไปรวมร่วม ๆ 2 – 3% พอถือไปเรื่อย ๆ ปีหลัง ๆ ก็เสียอีก 1.5 – 2.0% ต่อปี

ถ้าระยะยาวดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกทำผลตอบแทนได้ 10% ต่อปี ท่านก็จะโดยกินผลตอบแทนไปแล้วเกือบร้อยละ 20 ผ่านค่าใช้จ่ายที่เสียไปในแต่ละปี ส่วนตัวผมจึงแทบไม่แตะต้องกองทุนพวกนี้เลย ค่าใช้จ่ายที่แพงขนาดนี้ ระยะยาวย่อมลดทอนข้อดีที่จะได้จากการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนต่างประเทศครับ

อนึ่ง มีคำกล่าวว่า การกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนสินทรัพย์ต่างประเทศประกอบในพอร์ตฟอลิโอถือเป็น free-lunch ในการลงทุน แต่ถ้าถูกคิดค่าใช้จ่ายแพงขนาดนี้นอกจากเราจะไม่มี free-lunch อาหารกลางวันให้กินแล้ว เรายังต้องจ่ายอาหารเช้าและเย็นให้กับอุตสาหกรรมกองทุนรวมด้วย

แล้วควรจะลงทุนอย่างไรดี?

จริง ๆ การลงทุนกองทุนดัชนีในไทยตอนนี้ เมื่อเริ่มจากหลักการว่าลงทุนระยะยาวเป็นประจำ สม่ำเสมอ ตามช่วงเวลาที่กำหนดเช่นทุกเดือน โดยที่กองทุนดัชนีนั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด การลงทุนตามแนวทางข้างต้นในปัจจุบัน จึงควรจะลงทุนใน class e ของบลจ.ไทยพาณิชย์เป็นอันแรก จะกองทุน SETE หรือ SET50E ลงทุนให้ครบสิทธิที่ไม่เกิน 1 ล้านบาทเสียก่อน เพราะจะได้ลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายรวม ๆ ต่ำที่สุดแล้ว ราว ๆ 0.1-0.2% ที่เหลือเกินล้านค่อยไปลงทุนกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดกองอื่น ซึ่งจากตารางข้างบนก็คือ K-SET50

ผมว่าสิทธิ 1 ล้านนี่ เอาจริงคือไม่เลวเลยนะครับ โดยเฉพาะคนที่เริ่มลงทุนหรือคนที่จบใหม่เริ่มงาน สมมติเงินเดือน 15,000 คุณเก็บ 2,000 ปีละ 24,000 กว่าจะไปทะลุครบล้านนี่ก็ได้อีกหลายปี แม้กระทั่งคนที่ลงทุนอยู่แล้ว ในเมื่อคุณสามารถลงทุนใน 1 ล้าน class e ได้ด้วย เราก็ควรจะลงให้เต็มก่อน ค่อยไปที่อื่น เป็นหนึ่งล้านที่ทุกคนได้สิทธิฟรี ๆ กันหมด อยู่ที่จะลงทุนไม่ลง

ถ้าเรายึดตามหลักการกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ พวกตระกูล e class ของบลจ.นี้ ณ ตอนนี้คือให้สิทธิตามนี้จริง ๆ ในอนาคตถ้ามีบลจ.ไหนทำได้ดีกว่า เราก็ลงทุนไปตามนั้น สมมติบลจ.ที่มีกองทุนดัชนีตอนนี้ทำ e class ออกมาอีก เราอาจจะได้ e class รวมกันหลายบลจ. เพิ่มอีก 5 ล้าน (สมมติมี 5 บลจ. ออก e class) แบบนั้นก็อาจกระจายลงทุนไปบลจ.ละล้าน ไม่มีอะไรห้าม ขนาดเงินฝาก เรายังนั่งหาโปรดอกเบี้ยสูงเลย นี่พวกกองทุนรวมคือทางกลับกัน ค่าใช้จ่ายต่ำเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้นในระยะยาวอย่างหนึ่ง

เอาแค่ 1 ล้าน สมมติลงในกองทุนที่เลียนแบบดัชนี SET Index สมมติผลตอบแทนระยะยาวทบต้น 30 ปีข้างหน้าคือ 9% ต่อปี คุณลงกองทุนดัชนี A ที่คิดค่าใช้จ่าย 0.1% ต่อปี ผลตอบแทนจะเหลือ 8.9% ต่อปี คุณลงกองทุนดัชนี B ค่าใช้จ่าย 0.6% ต่อปี ผลตอบแทนเหลือ 8.4% เงินหนึ่งล้านในกอง A จะเป็น 12.9 ล้าน กอง B จะเป็น 11.24 ล้าน ต่างกัน 1.6-1.7 ล้านบาท ถ้านานกว่านั้นตัวเลขก็จะถ่างออกไปมาก ๆ ครับ

ทวนกันอีกรอบ เราไม่ภักดีกับบลจ.ไหน เพราะเราจะลงทุนในบลจ.ที่มีกองทุนดัชนีที่ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด เพราะในแง่หนึ่ง เราถือว่าบลจ.ที่ออกกองทุนดัชนีค่าใช้จ่ายต่ำมาก ๆ นั้นปฏิบัติกับเรานักลงทุนอย่างเป็นธรรมและคำนึงถึงพวกเราเป็นสำคัญแล้ว แม้อาจจะไม่ที่สุด แต่การได้จุดเริ่มต้นระบบที่ 1 ล้านเท่านั้น ก็เป็นจุดเริ่มที่ดีครับ

ทั้งนี้ กองทุนคลาส e ที่ไม่เก็บค่าธรรมเนียมบริหารจัดการยังรวมไปถึงกองทุนดัชนีต่างประเทศด้วย เพราะฉะนั้น กองทุนดัชนีหุ้นต่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำแบบนี้ก็เพิ่มความน่าสนใจสำหรับการลงทุนพวกกองทุนดัชนีที่ไปลงทุนในกองทุนดัชนีต่างประเทศ ที่กองแม่ในตปท.ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายไม่เยอะด้วย อย่างกอง SCBS&P500 ที่ค่าใช้จ่ายกอง class e ในไทยมีค่าใช้จ่ายราว ๆ 0.1% กว่า และไปลงทุนในกองทุนอีทีเอฟ SPDR S&P 500 ETF Trust ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อปีราว 0.1% ค่าใช้จ่ายรวมจึงตกอยู่ราว ๆ 0.2%+ ก็ใช้ได้อยู่ครับ ไม่เหมือนกับกองทุนแบบไม่ class e ที่ค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่า 1.2%

โปรดอย่าลืมว่า…

อะไรที่คุณไม่จ่ายออกไปในการลงทุน ในด้านหนึ่งมันก็คือผลตอบแทนที่คุณได้รับ ยิ่งคุณจ่ายค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ในการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนกองทุนรวม ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับก็จะน้อยลงไป

“The Fact is that the reverse is true : the more you pay, the less your earn.” — John C. Bogle[1. John C. Bogle, Bogle On Mutual Funds: New Perspectives For The Intelligent Investor (Hoboken: Wiley, 2014), 208.]

ตรวจสอบค่าใช้จ่ายรวมทุกอย่างให้ดีก่อนที่จะลงทุนในอะไรก็ตามครับ เพราะโดยทั่วไปแล้วนั้น ค่าใช้จ่ายที่ต่ำย่อมนำไปสู่ผลตอบแทนที่สูงขึ้นสำหรับนักลงทุน

“Other things equal, lower costs mean higher returns.” — John C. Bogle[1. ibid., 253]

อยากให้อ่านบทความนี้ต่อครับ 

I. DCA กับคำแนะนำของกูรู

II. ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผลตอบแทนหุ้นและตลาดหุ้น

III. ความเชื่อเกี่ยวกับผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน 

—♦ ข้อมูลอ้างอิงค่าใช้จ่ายของกองทุนรวมดัชนี จัดทำ ณ วันที่ 22/07/2562

Annotation 2019-07-22 191453

14 ความเห็นบน “กองทุนดัชนี ในไทย (Index Funds in Thailand)”

  1. อยากสอบถาม เรื่อง ค่าธรรมเนียมที่ควรนำมาพิจารณา ที่กอง SCB เรียกเก็บจริง 0.44% แต่อาจจะเก็บได้ถึง 2% แต่กอง TMB เรียกเก็บจริง 0.88 แต่จะเพิ่มได้ไม่เกิน 1.2% อยากสอบถามว่าในระยะยาวเรื่องค่าธรรมเนียมจะมีผลมากน้อยเพียงใดคะ

    ถูกใจ

    1. เขาสามารถปรับขึ้นปรับลงได้ครับ ภายในกรอบที่วางไว้ อย่างเจ้าที่พึ่งปรับขึ้นไปก็แสดงให้เห็นว่ากองทุนรวมมีการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายได้ จากปัจจัยหลายอย่าง แต่จากที่ดูย้อนหลังมา มันไม่ใช่จะปรับกันง่าย ๆ ครับ (การปรับแบบมีสาระสำคัญ)

      ถ้าถามเรื่องค่าธรรมเนียมมีผลอย่างไรในระยะยาว อ่านนี่ได้เลยครับ http://bearinvestor.net/2017/02/26/causation-costs-to-returns

      ถูกใจ

    1. ผมว่าหลักการ Index Funds เป็นสากลนะครับ ยิ่งประเทศอย่างสหรัฐหรือยุโรปที่งานวิจัยรองรับตลอดมาว่า การเอาชนะผลตอบแทนรวมของตลาดเป็นเรื่องที่ยากมากในระยะยาว แต่การไปลงทุนเราต้องคำนึงถึงต้นทุนด้วยนะครับ ถ้าค่าใช้จ่ายสูงก็กระทบกับผลตอบแทนที่ได้รับครับ

      ถูกใจ

    1. ยึดบทความกองทุนดัชนีในไทยได้เลยครับ บทความนี้กับในพวกบทความเก่า ๆ น่าจะหลุดรอดสายตา เดี๋ยวไล่แก้ไขให้ครับ

      ถูกใจ

  2. Facsheet ของ SET50 LTF และ SET100 RMF ของกรุงศรี (ซึ่งเป็นกองทุนดัชนีหุ้นประหยัดภาษีที่ถูกที่สุด) ระบุว่าเป็นกองทุนที่ “ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออก (issuer concentration)” แสดงว่าจริง ๆ แล้วยังถือหุ้นไม่ค่อยกระจาย ยังไม่ควรถือเพียงสองกองนี้หรือเปล่าครับ

    ถูกใจ

    1. มันมาจากประกาศก.ล.ต. สธ.10/2561 ครับ ลงทุนกระจุกตัวในผูัออกคือกองทุนได้ลงทุนในตราสารที่ออกโดยบุคคลหนึ่งอันได้แก่ผู้ออกตราสาร คู่สัญญา ผู้ที่มีภาระผูกพันเกินร้อยละ 10 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ

      อย่าง SET50 นั้นปัจจุบันมูลค่าของหุ้นปตท. PTT มันประมาณ 10% กว่าของดัชนี ทำให้กองทุนต้องระบุไปตามนั้นครับ ถามว่ากระจายความเสี่ยงไม่พอไหม อันนี้เราลงทุนในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่เป็น SET50 แล้ว เลียนแบบเกือบเท่าตลาดหุ้นเป๊ะ ๆ ในทางทฤษฎีมันกระจายความเสี่ยงเกือบเท่าตลาดหุ้นแล้วนะครับ (ถ้าจะเท่าจริงต้องลงทุนเลียนแบบถือหุ้นเหมือน SET INDEX เลย)

      ถูกใจ

  3. อยากสอบถามค่ะว่าควรเลือกลงทุนในกองดัชนี(เช่น TMB50) หรือกองดัชนีที่เป็น RMF(เช่น KFS100RMF)
    ปัจจุบันเสียภาษีอยู่ในเกณฑ์ 15% ขอบคุณค่ะ

    ถูกใจ

    1. โดยปกติควรเลือกกองทุนที่ลดหย่อนได้หรือได้สิทธิประโยชน์ภาษีก่อนนะครับ ถ้าเรามีภาระภาษี เพราะภาษีที่ได้รับการลดหย่อน ก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนเพิ่มอย่างหนึ่งครับ

      ถูกใจ

  4. ถ้าอยากกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในกองทุนดัชนีต่างประเทศอย่างเช่น s&p500 csi300ของจีน มีกองทุนไหนที่มีค่าใช้จ่ายถูกๆแนะนำไหม หรือมีวิธีลงทุนอย่างอื่นอีกบ้างไหมคับ

    ถูกใจ

    1. กองทุนพวกนี้มักจะมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสูงครับ เพราะมันต้องลงทุนสองต่อ เงินเราจะโดนเก็บที่กองทุนในไทย และกองทุนในไทยต้องไปลงทุนใน Master Fund หรือ ETF ที่ต่างประเทศก็จะโดนหักค่าใช้จ่ายอีก (อาจจะมีการคืนค่าธรรมเนียมหรือยกเว้นให้ อันนี้ต้องดูในหนังสือชี้ชวน) โดนเฉลี่ยค่าธรรมเนียมขายกองทุนพวกนี้ เราจะโดนเก็บ 1.0-1.5% จากเงินลงทุน พอไปโดนหักทั้งกองไทยกองนอกอีกก็อาจจะโดนเก็บอีกราว ๆ 1.0-1.5% อีกครั้ง โดยสรุปเสียไป 2.0-3.0% บางทีก็ได้ไม่คุ้มเสียนะครับผมว่า ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายพวกนี้จะกัดกร่อนผลตอบแทนระยะยาวของคุณเยอะมาก ๆ

      ถูกใจ

  5. สอบถามเรื่องการลงทุนครับ สมมุติผมมีเงิน “พร้อม” ซื้อกองทุนดัชนีตอนนี้เลย 100,000 บาท ผมควร…

    1. ซื้อทีเดียวเลย 100,000 บาท หรือ
    2. แบ่งซื้อเดือนละ 10,000 บาท 10 เดือน (เงินที่ยังไม่ซื้อฝากธนาคารไว้ครับ)

    ขอบคุณครับ

    ถูกใจ

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s