บทความนี้เรามาคุยกันถึงกองทุนพักเงินที่เรียกว่า กองทุนตราสารหนี้ ระยะสั้น” — Short-term Bond กันดีกว่า พิเศษหน่อยคือผมจะพูดถึงกองทุนพวกนี้ที่ผมลงทุนเองอยู่และประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปี คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
1. กองทุนตราสารหนี้ – ระยะสั้น
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ก็คือ กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง เงินฝากธนาคาร ตั๋วแลกเงิน ฯลฯ โดยมีอายุตราสารเฉลี่ยประมาณ 1.0-1.5 ปี ตราสารพวกนี้ก็จะหมดอายุแล้วก็คืนเงินต้น ปกติจะดำรงรักษา duration ของพอร์ตที่เฉลี่ยประมาณไม่เกิน 1.0-1.5 มันก็คล้าย ๆ กับ กองทุนตลาดเงิน — MMF เวอร์ชั่นพัฒนาขึ้นมานั่นเองครับ
หากแต่จริง ๆ แล้วมันคือ กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ทำให้สามารถขายแล้วได้รับเงินคืนวันถัดไป (T+1) อาจจะเรียกมันว่า กองทุนตราสารหนี้ที่ซื้อขายได้ทุกวันและปรับปรุงให้มีสภาพคล่องใกล้เคียงกับ MMF — กลายเป็นกองทุนตราสารหนี้แบบ Daily Fixed (DF)
โดยปกติ กองทุนตราสารหนี้ ชนิดนี้มักจะลงทุนแกนกลางคล้ายกับ MMF แต่จะมีการผสมตราสารหนี้อายุยาวขึ้นมาเพิ่มขึ้น เพื่อให้ผลตอบแทนสูงกว่ากองทุนตลาดเงิน หรือมีนโยบายลงทุนที่อาจจะเปิดโอกาสให้ไปลงทุนตราสารหนี้ที่กว้างขวางขึ้น เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้นในต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ก็ยังจะต้องคงลักษณะบางอย่างของ MMF เอาไว้ เช่น ยังเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูง ยังเป็นกองทุนที่ขายวันนี้ได้รับเงินวันทำการถัดไป
ส่วนตัวผมเองนั้น เลิกเก็บเงินในบัญชีออมทรัพย์ไปนานมากแล้ว และเปลี่ยนมาใช้กองทุนพวกนี้เพื่อพักเงินระหว่างที่ยังไม่ได้ทำอะไรแทน ทุกวันนี้พอได้เงิน ผมก็จะค้างเงินสดไว้ในบัญชีไม่เกิน 10,000 บาท ที่เหลือจะเอาไปซื้อกองทุนพวกนี้หมด ดังนั้น วัตถุประสงค์ ในการลงทุนของกองทุนพวกนี้คือ
• ไว้พักเงินสภาพคล่อง เช่น เงินเดือนส่วนที่หักไว้เป็นเงินออม หรือรอซื้อสินทรัพย์อื่น ๆ ในอนาคต เช่น หุ้น กองทุนรวมหุ้น
• เก็บเผื่อไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะใช้ในระยะเวลาใกล้ ๆ ที่กำลังจถึง เช่น ค่าเทอม เงินผ่อน
• เป็นเงินสำรองฉุกเฉิน **
• เป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุนระยะยาว แต่ไม่ควรมีสัดส่วนเกิน 20% ของพอร์ต เพราะมีไว้เป็นสภาพคล่องเฉย ๆ เท่านั้น
2. การเลือก กองทุนตราสารหนี้ ระยะสั้น
สมัยแรก ๆ ผมใช้วิธีทั่วไปในการเลือกกองทุน คือ ดูเว็บไซต์เปรียบเทียบผลตอบแทน กองไหนดีก็ไปเปิดบัญชีกับที่นั่น เนื่องจากผมมีบัญชีธนาคารครบเกือบทุกธนาคารจึงอิสระมาก ๆ เรียกว่ามีบัญชีกองทุนทุกเจ้า และสมัยก่อนตอนเป็นนักศึกษาจึงมีเวลาสำหรับการไปฝากไปโอนเงิน ในทางกลับกัน คนส่วนใหญ่ถ้ามาเปิดกองทุนพักเงินตอนทำงานแล้ว ก็มักจะหนีไม่ค่อยพ้นกองทุนในเครือธนาคารที่ตนรับเงินเดือนหรือไปทำธุรกรรมได้สะดวก
อนึ่ง กองทุนพวกนี้จริง ๆ แล้วมันมีอะไรซับซ้อนนะครับ แม้มันจะดูเหมือน ๆ กันก็เถอะ ผู้ให้บริการ (บลจ.และธนาคาร) หลายเจ้า มักจะมีกองทุนตลาดเงินกับกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นพวกนี้รวมกันประมาณ 2-3 กอง ถ้าแบ่งแบบง่าย ๆ ก็คือ กองที่เน้นปลอดภัยเพราะลงทุนแต่ตราสารการเงินที่รัฐบาลออกและค้ำประกัน กับ กองที่ยังปลอดภัยแต่ผสมอะไรให้มันผลตอบแทนดีขึ้น เช่น ใส่เงินฝากระยะยาว ๆ ใส่ตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ระยะยาวลงไปบ้าง
อย่างที่บอกสมัยก่อนผมลงทุนโดยดูผลตอบแทนเป็นหลัก แต่หลัง ๆ นี้เรื่องกลับเปลี่ยนไป พอศึกษามากขึ้น ผมกลับสังเกตว่า พอร์ตลงทุนของกองทุนพวกนี้ไม่ค่อยแตกต่างกันหรอก ผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่กองทุนถือมันก็ใกล้เคียงกัน ตัวที่จะวัดว่าใครผลตอบแทนดีไม่ดีคืออะไรรู้ไหมครับ มันก็คือ “ค่าใช้จ่ายรวมต่อปี” นั่นเอง
ลองสมมติว่า เฉลี่ยแล้วกองทุนพวกนี้ถือตราสารทั้งหมดแล้วให้ผลตอบแทนระยะยาวเฉลี่ย 3% ต่อปีเท่ากัน ซึ่งมันควรจะเป็นผลตอบแทนของคุณทั้งหมด แต่ด้วยช่วงกว้าง (range) ของค่าใช้จ่ายที่แต่ละเจ้าเรียกเก็บ มีตั้งแต่ 0.2 – 1.0% ต่อปี นั่นคือ คุณจะได้ผลตอบแทนทั้งปีประมาณ 2.0% – 2.8% ต่อปี ซึ่งมีความแตกต่างมหาศาล เนื่องมาจากโดนชาร์จเรียกเก็บค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน
สำหรับกองทุนพวกนี้แล้ว ฝีมือของผู้จัดการกองทุนส่งผลน้อยมาก ๆ เพราะท้ายที่สุดจะไปโดนค่าใช้จ่ายรวมกัดกินผลตอบแทนส่วนเกินกันหมด กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะวัดว่าผลตอบแทนสุดท้ายคุณจะได้เท่าไหร่ จึงนำมาสู่แนวทางลงทุนของผม หลักสำคัญคือดู นโยบายลงทุน คู่ไปกับ ค่าใช้จ่ายกองทุน โดยให้น้ำหนักตัวหลังเยอะกว่า
ทั้งนี้ หลักการลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ (low-cost index fund) สามารถนำมาใช้กับกองทุนตราสารหนี้ได้ หากแต่ปัญหาอย่างหนึ่งของกองทุนตราสารหนี้ในประเทศไทย คือ การไม่มีกองทุนดัชนีตราสารหนี้ (bond index funds)
อย่างไรก็ดี กองทุนตราสารหนี้ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำมาก ๆ ก็ยังพอนำมาทดแทนกองทุนดัชนีตราสารหนี้ได้ เพราะกองทุนตราสารหนี้แบบบริหารจัดการ (Actively managed fund) ยังมีข้อดีเฉกเช่นกองทุนดัชนีตราสารหนี้ในเรื่องของการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม (broad diversification) เพราะมีการลงทุนในตราสารหนี้จำนวนมาก
ผมลองพาเดินทัวร์ทำความรู้จักกองทุนประเภทนี้ของแต่ละบลจ.หลัก ๆ ดีกว่า (บางกองอาจถูกจัดเป็นกองทุนตลาดเงินได้ แต่ผมคิดว่ามันก้ำกึ่งจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นมากกว่า) โดยจะคัดมาแต่กองทุนที่ค่าใช้จ่ายรวมต่ำ ๆ ประมาณไม่เกิน 0.4% ต่อปี เพราะฉะนั้นหลายกองจะหายไปทันที เช่น K-SF, K-SFPLUS, TMBUSG และกองทุนที่คัดมาต้องมีสภาพคล่องดี เป็นกองที่ขายแล้วได้เงินวันทำการถัดไป (T+1) โดยดึงข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนและรายงานประจำปี ซึ่งทำการรวบรวม ณ วันที่ 18/11/17
ชื่อบริษัทจัดการ: ชื่อกองทุน (ค่าใช้จ่ายรวมต่อปี)
• KTAM: KT-ST (0.30%), KTSTPLUS (0.30%), KTPLUS (0.38%)
• KSAM: KTSMART (0.39%)
3. สรุป กองทุนตราสารหนี้ – ระยะสั้น
วิธีเลือกกองทุนพวกนี้ในปัจจุบันของผม สรุปได้เรียงตามลำดับ ดังนี้
(1) เลือกที่มีค่าใช้จ่ายรวมต่อปีต่ำสุดถ้าเป็นไปได้ จริง ๆ อยากให้เลือกกองทุนดัชนีตราสารหนี้ แต่เท่าที่รู้คือตอนนี้ในไทยยังไม่มี
(2) ประเด็นเรื่องพอร์ตลงทุนของกองทุน โดยปกติกองทุนพวกนี้จะมีนโยบายลงทุนอนุรักษ์นิยมพอสมควร ไม่มีใครอยากเสียชื่อเรื่องบริหารกองทุนตราสารหนี้ผิดพลาด ตราสารที่ลงทุนมักจะมีส่วนหนึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และมักจะมีระดับเรตติ้งที่ A แต่หากมี BBB+ เยอะ ๆ ให้ตั้งข้อสงสัยนะครับเรื่องความเสี่ยง
(3) พิจารณาประเด็นอื่น ๆ เช่น ความสะดวกในการใช้บริการ อย่างกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นของบลจ.กรุงศรี ธนชาต สามารถผูกบัญชีธนาคารได้หลากหลาย (ดูบทความนี้ประกอบ)
(4) กองทุนพวกนี้มีการกระจายความเสี่ยงในระดับหนึ่งแล้วตามที่อธิบายไปข้างบน เพราะกองทุนตราสารหนี้ที่แม้จะไม่ใช่กองทุนดัชนีก็จำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนในตราสารหนี้หลายตัว ในหลายประเภท (พันธบัตร หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ฯลฯ) และในหลายองค์กรผู้ออก (บริษัทเอกชน รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน)
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นโดยส่วนใหญ่จึงไม่มีความแตกต่างจนเกินไปในเรื่องการกระจายความเสี่ยง แต่นักลงทุนอาจนั่งเปรียบเทียบดูก็ได้ครับ เพราะบางกองก็เน้นลงทุนในตราสารที่ออกโดยสถาบันการเงินเป็นส่วนใหญ่ บางกองทุนก็เน้นลงทุนในพันธบัตรของหน่วยงานรัฐ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย
ต้องย้ำว่า การลงทุนในกองทุนพวกนี้ยังไงก็ยังหลงเหลือความเสี่ยงครับ บทความนี้อธิบายประสบการณ์และการลงทุนส่วนตัวให้ลองไปศึกษาดู แต่ละคนมีแนวทางลงทุนต่างกันครับ และกองทุนพวกนี้ไม่ได้คุ้มครองเงินต้น มีโอกาสจะสูญเงินได้แม้กระทั่งกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลล้วน ๆ (แต่โอกาสน้อยมาก) เพราะฉะนั้นควรลงทุนอะไรที่เราเข้าใจกับมันดีที่สุดครับ