กองทุนปันผล เป็นหนึ่งในตัวอย่างของสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจระบบของมันนัก แต่น่าแปลกใจว่า มันกลับกลายเป็นกองทุนที่นักลงทุนจำนวนมากใส่เงินเข้าไปลงทุนอย่างหนักในหลายปีที่ผ่านมา
อย่างเรื่องหนึ่งที่คาใจมานาน เพราะมองข้อดีของมันไม่ออกเลย ประเด็นที่ว่าคือ ถ้าเราจะลงทุนระยะยาวในกองทุนหุ้น ทำไมเราถึงเอาเงินไปไว้ในกองทุนแบบมีนโยบายจ่ายเงินปันผล? หัวข้อนี้น่าสนใจมาก ๆ เพราะตัวผมเองนั้นมักจะได้อ่านความเห็นในเว็บบอร์ดลงทุน แนะนำให้ลงทุนรายเดือนในกองทุนแบบมีปันผล ได้ปันผลมาก็เอาไปซื้อกลับ หรืออีกเคสหนึ่งให้รอซื้อกองทุนหลังปันผลเพราะจะได้ ราคาหน่วย (NAV) ถูกลง หรือไม่ก็แนะนำเลยว่าให้ซื้อก่อนปันผล เพราะจะได้ปันผลมาใช้เลยไม่ต้องรอ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างลึกซึ้งทีเดียว
1. รวมประเด็นเข้าใจผิดเกี่ยวกับ กองทุนปันผล
จากประสบการณ์ส่วนตัวพบว่า นักลงทุนเข้าใจ กองทุนปันผล ผิดไปหลายเรื่องมาก ผมยกให้เป็นความเข้าใจผิด 3 อันดับแรกของคนที่ลงทุนในกองทุนรวมเลยด้วยซ้ำ และทุกวันนี้ก็ยังมีความเข้าใจผิดแบบนี้ที่แพร่หลายออกไป
(1) อย่างแรกเลย ปันผลทุกครั้งนั้นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตรา 10% ครับ สมมติปันผลมา 100 บาท ก็จะเหลือเงินสดจริง ๆ ให้เรา 90 บาท (ในส่วนนี้ใครที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีสามารถขอคืนภาษีได้โดยทำการยื่นแบบภงด.) แต่ แต่ และแต่ ผมก็ไม่แน่ใจว่ามีคนทำแบบนี้เยอะไหม หรือส่วนมากจะละเลยแล้วปล่อยภาษีทิ้งไปเลย ถ้าเราลงทุนหลายสิบปี ผลตอบแทนเราจะถูกลดทอนลงจากภาษีที่ว่าไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ในทางกลับกัน ถ้าปล่อยเงินโตในกองทุนไปเรื่อย ๆ เงินลงทุนก็จะไม่ถูกหักภาษี แถมตอนขายทิ้งก็ไม่มีภาษีด้วย ผมจึงไม่เห็นประโยชน์ในการลงทุนระยะยาวกับกองทุนแบบมีปันผลเลย นี่คือข้อสงสัยอย่างที่หนึ่ง
(2) เรื่องที่สอง ถ้าจะลงทุนแบบซื้อเฉลี่ยไปเรื่อย ๆ ทำไมถึงต้องลงทุนกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผล แล้วเอาเงินปันผลที่ได้มาซื้อต่อ ทั้ง ๆ ที่จะโดนภาษีหักไปเรื่อย ๆ เท่ากับว่าเงินที่เอามาลงทุนต่อย่อมจะน้อยกว่าอย่างมาก เมื่อเทียบกับเราปล่อยเงินให้อยู่ในกองทุนแล้วปล่อยกองทุนลงทุนทบต้นต่อไป แทนที่จะเอาเงิน 100 บาทลงทุนต่อเต็ม ๆ ก็มาทำให้เหลือ 90 บาทแทน
(3) การแนะนำให้เข้าซื้อก่อนปันผลเพราะจะได้ปันผลมาใช้เลย ผมสมมติแบบนี้ กองทุน xxx มี NAV ที่ 14 บาท ประกาศจ่ายปันผล 1 บาท มีคนแนะนำให้ผมซื้อเลย จะได้ปันผล ผมก็เข้าซื้อ กลายเป็นว่าหลังปันผล ผมได้เงินปันผล 0.9 บาท (ถูกหักภาษี10%) และราคา NAV หลังหักปันผล 1 บาทก็จะเหลือที่ 13 บาท สรุปแล้วผมมีมูลค่าลงทุนเหลือเพียง 13 บาทและเงินปันผลที่ได้รับ 0.9 บาท นั่นคือผมขาดทุน! และ และ เห็นอะไรไหมครับไอ้ 0.9 บาทที่ผมได้มันก็คือเงินลงทุนที่ผมพึ่งซื้อไปนั่นเอง แถมไม่ได้ครบ 1 บาทด้วยนะ ได้มา 0.9 บาทเพราะโดนหักภาษี (ย้อนไปดูข้อ 1. และ 2.)
(4) การซื้อหลังกองทุนปันผลด้วยเหตุผลว่าเพราะจะได้ราคาหน่วยที่ถูก นั่นคือ ต้นทุนหลอก ครับ เรารู้สึกว่ามันถูก จริง ๆ ไม่ถูกหรอก เราก็ได้เท่ากับคนที่เขาซื้อมาก่อนเรานั่นล่ะ เหมือนตัวอย่างข้างบน NAV 14 บาท ปันผล 1 บาทเหลือ 13 บาท สรุปแล้ว คนที่ซื้อก่อนเราเขาก็เหลือต้นทุนที่ 13 บาท + เงินปันผลในมือ 1 บาท (สมมติว่าไม่ถูกหักภาษี) ส่วนทางเรานั้น ก็ถ้าเงินเท่ากัน 14 บาทซื้อที่ NAV 13 บาท เราก็จะเหลือเงินในมือ 1 บาทเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ เงินที่คุณจะลงทุนในหุ้น หรือกองทุนหุ้น เมื่อมันเป็นเงินลงทุนระยะยาว เราจะลงทุนกันไปอีก 20-50 ปี การให้ทุกบาททุกสตางค์เติบโตทบต้นเป็นอะไรที่สมเหตุผลสุด แล้วทำไมเราจะต้องให้กองทุนจ่ายปันผลออกมาด้วย ในเมื่อคุณก็ต้องเอาเงินกลับไปลงทุนใหม่ สำหรับคนที่ยังไม่เกษียณอายุแล้วบอกว่าจะเอาปันผลออกมาใช้จ่าย ผมว่ามันไม่ถูกอยู่ดี เพราะต้องมองเงินทั้งก้อนนี้เป็นเงินในอนาคตทั้งหมด การดึงหรือชักออกมาใช้ก่อน ทำให้เงินและความมั่งคั่งในอนาคตที่เราควรจะต้องได้รับต่อไปหดลงด้วย
การปล่อยให้เงินเติบโตในกองทุน ผู้จัดการกองสามารถนำเงินไปลงทุนต่อ (reinvest) ได้ทันที มันจะเกิดผลตอบแทนแบบดอกเบี้ยทบต้นโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ การที่กองทุนจ่ายปันผล เงินปันผลจะถูกหักภาษี 10% ซึ่งมันอาจดูเล็กน้อยแต่ระยะยาวแล้วแย่มาก ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สมมติเราลงทุนกองทุนหุ้นไป 1,000 บาท กองทุนทำกำไร 10% เงินโตเป็น 1,100 กองทุนจ่ายกำไรออกมาหมด คือ จ่ายกำไรมา 100 บาท คุณถูกหักภาษี 10% เงินรับจริงเหลือ 90 บาท คุณเอาไปใช้ และนี่คือต้นทุนค่าเสียโอกาสครับ นั่นคือ เงิน 10 บาทนี้ถ้าสามารถลงทุนในกองทุนต่อแล้วได้ผลตอบแทนทบต้น 10% ต่อปี อีก 20 ปี เงินก้อนนี้คือ 80 บาท และอีก 40 ปี มันคือ 640 บาท !!! ถ้าเงินภาษีที่ถูกหักคือ 1 ล้านบาท เงินนั่นในอนาคตอีก 40 ปี คือ 64 ล้านบาทนะครับ
2. ความแตกต่างระหว่างปันผลหุ้นกับปันผลของกองทุน
อีกประเด็นสำคัญที่จะหลงกันมาก คือ ปันผลหุ้น กับ ปันผลกองทุนหุ้น นั้น “ไม่เหมือนกัน” ปันผลของหุ้นแต่ละตัวนั้นมาจากกำไรของบริษัทที่ทำได้แล้วจ่ายออกมา แต่ปันผลของกองทุนหุ้นนั้นมาจากกำไรจากการลงทุนของกองทุนรวม เพราะฉะนั้นกองทุนหุ้นอาจได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่กองทุนถือลงทุนอยู่ แต่ กองทุนอาจจ่ายปันผลไม่ได้ ลองดูตัวอย่างกัน (ในตัวอย่างจะไม่หักค่าใช้จ่ายกองทุนและหนี้สินนะครับ เพราะจะได้ไม่งง)
เหตุการณ์ที่ 1 กรณีกองทุนได้กำไรเพราะหุ้นที่กองทุนถือมีการจ่ายปันผล
สมมติกองทุนรวมหมีน้อยตั้งมาด้วยเงินลงทุนของนักลงทุนรวมกัน 1,000 ล้านบาท โดยปกติราคาหน่วย NAV per unit ก็จะเริ่มต้นที่ 10 บาท สมมติแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า กองทุนเอาเงิน 1,000 ล้านไปซื้อหุ้นบริษัทปูนตราลูกหมีด้วยเงินจำนวนหนึ่ง
เวลาผ่านไปหนึ่งปี บริษัทปูนตราลูกหมีมีกำไรเลยจ่ายปันผลออกมาแก่ผู้ถือหุ้นซึ่งรวมถึงกองทุนรวมหมีน้อยนี้ด้วย โดยกองทุนได้เงินปันผลมารวม 50 ล้านบาท เท่ากับว่าตอนนี้กองทุนมีกำไรแล้ว 50 ล้านบาท หรือผลตอบแทน 5% จากเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้ ราคาหน่วย NAV per unit จะขยับกลายเป็น 10.50 บาท ตรงนี้ขึ้นอยู่กับกองทุน ถ้าสมมติกองทุนนี้มีนโยบายไม่จ่ายปันผล กองทุนก็จะเอาเงินไปลงทุนซื้อหุ้นต่อ (reinvest) เงินออมของเราก็จะเติบโตต่อไป
ในทางกลับกัน ถ้ากองทุนมีนโยบายจ่ายปันผล กองทุนอาจจะจ่ายออกมาหมดเลยก็ได้ ก็คือ จ่ายออกมา 0.5 บาทต่อหน่วย และ NAV per unit จะเหลือ 10 บาทเท่าเดิม
เหตุการณ์ที่ 2 กองทุนได้ปันผลจากหุ้น แต่ขาดทุนจากราคาหุ้น จนขาดทุนในภาพรวม
จากตัวอย่างในเหตุการณ์ที่ 1 ซึ่งกองทุนได้ปันผลมารวม 50 ล้านบาท เท่ากับตอนนี้กองทุนมีกำไรแล้ว 50 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นบริษัทปูนลูกหมีมีราคาลดลง และตอนนี้มูลค่าเงินต้นของกองทุนจาก 1,000 ล้านบาทเหลือ 700 ล้านบาท แต่ด้วยความที่มีกำไรจากปันผลมาก็จะมีมูลค่าทรัพย์สินคงเหลือ 750 ล้านบาท ทำให้ราคาหน่วยก็จะเหลือ 7.5 บาท
เห็นไหมครับ เคสนี้กองทุนได้กำไรจากปันผลแต่กองทุนไม่อาจจ่ายปันผลได้ สาเหตุก็เพราะกองทุนไม่มีกำไร กองทุนขาดทุนอยู่ย่อมจ่ายปันผลไม่ได้
เหตุการณ์ที่ 3 กองทุนได้ปันผลจากหุ้นและหุ้นที่ถือก็ราคาหุ้นขึ้นด้วย
กลับไปที่เหตุการณ์เดิม กองทุนได้ปันผลมารวม 50 ล้านบาท ส่งผลให้ตอนนี้กองทุนมีกำไรแล้ว 50 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นบริษัทปูนลูกหมีทะยาน จนตอนนี้มูลค่าเงินต้นของกองทุนจาก 1,000 ล้านบาทกลายเป็น 1,200 ล้านบาท บวกกับมีกำไรจากปันผลมา ส่งผลให้กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สิน 1,250 ล้านบาท และราคาหน่วยก็จะพุ่งเป็น 12.5 บาท
เคสนี้กองทุนอาจจ่ายปันผลออกมาได้ถึง 250 ล้านบาท โดยการเอาปันผลที่ได้รับออกมาจ่าย (50 ล้านบาท) และขายหุ้นในส่วนที่เป็นกำไรคือ 200 ล้านบาทออกมาด้วย (ซึ่งทำได้) มูลค่าทรัพย์สินก็จะกลับไปเหลือ 1,000 ล้านบาทเท่าเดิม และราคาหน่วยก็กลับไปเป็น 10 บาท นักลงทุนได้ปันผลออกมาหน่วยละ 2.5 บาท และถูกหักภาษี 10%
เหตุการณ์ที่ 4 กองทุนไม่ได้ปันผลแต่กองทุนมีกำไรจากหุ้นที่ถือ
แน่นอนว่าการที่กองทุนจะจ่ายปันผลได้ กองทุนต้องมีกำไรถูกไหมครับ ก็จะมีกรณีที่กองทุนอาจจะยังไม่ได้เงินปันผลรับมา แต่หุ้นที่กองทุนถือมีราคาสูงขึ้นมา แบบนี้กองทุนก็สามารถทำการขายหุ้นนั้นทิ้งเพื่อรับกำไรส่วนต่างราคาหุ้น (capital gain) ซึ่งเงินตรงนี้ย่อมถือว่าเป็นกำไร และกองทุนก็เอามาจ่ายปันผลได้ด้วยเช่นกัน
3. ผลกระทบจากการจ่ายปันผลของ กองทุนปันผล
ทั้งนี้ พวกกองทุนที่จ่ายปันผลก็จะมีนโยบายจ่ายที่แตกต่างกันไป เช่น กองทุนจ่ายปันผลแหลก กองทุนนี้พอมีกำไรปุ๊บก็จ่ายกำไรออกมาหมดเลย (ซึ่งจ่ายได้จากปันผลที่ได้รับหรือไม่มีปันผลก็ขายหุ้นที่มีกำไรทิ้งแล้วเอากำไรที่ได้มาจ่ายปันผล) หรือกองทุนจ่ายกะปริบกะปรอย จ่ายครึ่งหนึ่ง เก็บผลกำไรไว้ครึ่งหนึ่ง พอต่อไปสถานการณ์ไม่ดี ตลาดหุ้นผันผวน กองทุนจ่ายปันผลแหลกอาจจะจ่ายปันผลไม่ได้เลย เพราะไม่มีกำไรเหลืออยู่(แถมขาดทุนด้วย) แต่กองทุนจ่ายกะปริบกะปรอยอาจจะยังจ่ายได้ โดยควักกำไรเก่าที่สะสมคงเหลือไว้มาจ่ายแทน
ด้วยเหตุนี้ คนที่เลือกกองทุนแบบจ่ายปันผล จะต้องไปดูนโยบายจ่ายเงินปันผลกองทุนให้เข้าใจด้วยครับ เพราะกองทุนสามารถจ่ายออกมาได้จากกำไรสุทธิในงวดนั้น เช่น ปีนี้ขาดทุนก็ไม่จ่าย แต่ปีต่อไปมีกำไรแบบนี้จ่ายได้ หรือบางกองแม้งวดนี้จะขาดทุน แต่ถ้ายังมีกำไรสะสมอยู่ก็จ่ายปันผลได้ ซึ่งต้องสังเกตนโยบายและวิธีจ่ายของกองทุนแต่ละเจ้าครับ
มีประเด็นหนึ่งเรื่องจ่ายปันผลที่ส่วนตัวผมแอบคิด คือ กองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผล มักจะสร้างปัญหาระดับหนึ่งให้ผู้จัดการกองทุน เพราะสมมติถ้าไม่มีนโยบายจ่ายปันผล กองทุนจะค่อนข้างอิสระที่จะเอาเงินผลกำไรไปลงทุนต่อได้สะดวก แต่กรณีกองทุนจ่ายปันผล ผู้จัดการกองทุนมีประเด็นต้องพิจารณาตรงนี้ เพราะฉะนั้น อาจจะไม่สามารถเอาเงินปันผลและผลกำไรไปลงทุนต่อได้ หรือกลับกัน หุ้นในพอร์ตอาจมีกำไรยังไม่รับรู้ (unrealized gain) ก็คือหุ้นที่กองทุนถือมีราคาที่สูงขึ้นจากตอนที่ซื้อมา แต่เพราะนโยบายถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องจ่ายปันผล
ในหลายครั้งนั้น แม้จะมองเห็นศักยภาพของหุ้นตัวนั้นในอนาคต แต่ก็จำต้องทยอยขายหุ้นดังกล่าวออกมาเพื่อให้จ่ายปันผลได้ ซึ่งอาจจะกระทบต่อฝีมือการลงทุน (performance) ของกองทุนได้ เพราะการทยอยขายหุ้นย่อมต้องกระทบต่อราคาของหุ้นตัวนั้นเอง เช่น กรณีที่หุ้นบริษัทนั้นมีสภาพคล่องน้อย หรือหุ้นดังกล่าวไม่ค่อยมีการซื้อขาย ทำให้เกิดช่องว่างราคา (bid-spread) ทำให้เวลาขายได้กำไรน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แถมการขายหุ้นต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างค่าคอมมิชชันอีกด้วย
อนึ่ง มีอีกหนึ่งประเด็นที่มักพูดกันบ่อย ๆ คือ กองทุนจ่ายปันผล ทำให้นักลงทุนสามารถเก็บกำไรเอาไว้ก่อนเพราะพอกองทุนมีกำไร กองทุนก็จ่ายออกมา ในขณะที่กองไม่ปันผลถือไปก็ราคาขึ้นลง ทำให้อาจจะไม่ได้อะไรถ้าไม่ขายทิ้ง อันนี้ตอบได้เลยครับว่า ถ้าคุณจะลงทุนระยะยาว การได้ปันผลออกมานั้น ภาระแรกคือการ “เสียภาษี”และภาระต่อมาคือ ต้นทุนการถือเงินสด เพราะถ้าจะบอกว่าได้กำไรเป็นเงินสดมาพักไว้ก่อน ก็ต้องไม่ลืมว่าการถือเงินสดเอาไว้ยาว ๆ ก็จะเกิดปัญหาตามมาอีกมาก เช่น
ปัญหาประการแรกคือประเด็น Cash Drag เพราะโดยปกติถ้าเงินมันอยู่ในกองทุน ผู้จัดการกองทุนก็จะเอากำไรไปลงทุนทบต้นได้ต่อ แต่พอมันมาอยู่ในมือเราปุ๊บ ถ้าหุ้นมันขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ คุณก็จะเสียผลกำไรไปล่ะ เพราะแทนที่จะได้ถือหุ้นกลับต้องมาถือเงินสดไว้ในมือ การกลับไปลงทุนต่อก็ทำให้ต้องซื้อหน่วยที่ราคาแพงขึ้น
ปัญหาประการที่สองคือ “การจับจังหวะลงทุน” (Market Timing) คุณก็จะไม่รู้อีกว่า ต้องกลับเข้าไปซื้อตอนไหน ต่อให้โชคดีได้เงินปันผลมาแล้วหุ้นตก นักลงทุนส่วนใหญ่ก็จะไม่มีความสามารถในการจับจังหวะลงทุนหรอกครับ มันคือเรื่องที่ยากมาก พอหุ้นตกก็ไม่กล้าลงทุนต่อ สักพักตลาดฟื้นก็ไม่แน่ใจ พอตลาดกระทิงค่อยกลับมั่นใจกลับมาซื้อ เป็นวงจรผิดพลาดแบบวัฏจักร ไปอีก แต่จะว่าไปแล้ว ปกติคนไม่เจอปัญหาข้อนี้หรอก เพราะเผลอ ๆ ได้เงินปันผลมาก็เอาไปใช้จ่ายหมดซะแล้วครับ ไม่ยอมเอากลับมาลงทุนต่อ เพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาข้างต้น ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่าลงทุนกองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผลครับ มันจะปิดความเสี่ยงและปัญหาพวกนี้ได้
4. บทสรุปเกี่ยวกับ กองทุนปันผล
สรุปแล้ว กองทุนปันผลไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ลงทุนระยะยาว การปล่อยให้เงินเติบโตในกองทุนที่มีนโยบายไม่จ่ายปันผลย่อมดีกว่ามาก ๆ ถ้าฉุกเฉินก็ใช้วิธีขายทิ้งบางส่วนเอาเงินออกมาซะ (ไม่เสียภาษีด้วย) กองทุนแบบปันผลจะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการกระแสเงินสดเข้ามาใช้ระหว่างปี อารมณ์ประมาณว่า ตอนอายุ 50-60 ขึ้นไป มีเงินก้อน 10 ล้าน จึงซื้อไว้แล้วรอรับปันผลแต่ละปีมากกว่า ไม่ใช่คนที่ตั้งใจจะลงทุนตั้งแต่ยังหนุ่มสาวเพื่อสะสมเงินไว้ใช้ในอนาคตครับ (และต้องไม่ลืมว่า กองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผล ถ้ากองทุนไม่มีกำไรก็จ่ายปันผลไม่ได้)
สุดท้ายนี้ ขอให้เข้าใจให้ดีว่า ผลตอบแทนสุดท้ายที่เราจะได้รับสำคัญมาก ๆ ซึ่งผลตอบแทนที่ว่านั้น ต้องเป็นผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายและหักภาษีทั้งหมดแล้ว เรียกว่าเป็น Net Total Return (After total expenses & taxes) เรื่องนี้สำคัญมาก ๆ การลงทุนอะไรที่ผลตอบแทนพอ ๆ กัน แต่มีอันหนึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อปีต่ำและไม่มีภาระภาษีหนัก ๆ ย่อมดีกว่ามาก เราเป็นนักลงทุนต้องศึกษาให้แม่นครับ เราต้องพิสูจน์ให้ชัดก่อนที่จะเอาเงินที่หามาอย่างยากลำบากสักก้อนไปลงทุนหรือใช้วิธีลงทุนแบบไหนก็ตาม
อย่าเชื่อสิ่งที่นักลงทุนหมู่มากทำตามกัน เพราะส่วนใหญ่แล้วมันมักจะเป็นวิธีและแนวทางที่ลดทอนผลตอบแทนระยะยาวของนักลงทุนทั้งนั้น
ชอบหลาย
ถูกใจถูกใจ
เป็นตรรกะที่ใช้ได้เลยครับ
ถูกใจLiked by 1 person
ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้ดีมากๆ
ถูกใจLiked by 1 person
ขอบคุณเช่นกันครับ : )
ถูกใจถูกใจ
เก่งที่สุด
ถูกใจLiked by 1 person
ขอบคุณที่ช่วยเคาะขี้เลื่อยออกจากหัวให้นะคะ
😀
ถูกใจถูกใจ
ช่วยกันครับ ผมก็เคยไม่เข้าใจมาก่อนสมัยแรก ๆ : )
ถูกใจถูกใจ
ดีงามม อ่านแล้วคิดตามได้ความรู้เยอะเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ 🙂
ถูกใจถูกใจ
คือดีมาก ไม่เคยมองมุมนี้มาก่อนเลย
ถูกใจถูกใจ
ตัดสินใจเลือกได้เลย… ขอบคุณครับ
ถูกใจถูกใจ