เรื่องทั้งหมดโดย Bear Investor

Where are the customers’ yachts?

ชายคนหนึ่งเข้ามาหาเพื่อนที่ทำงานในวงการวอลสตรีท ซึ่งเพื่อนเขาได้พาชมเมืองแถวริมทะเลและชี้ให้ดูอะไรบางอย่างเยอะแยะไปหมด

“โน่น ที่นายเห็นหน่ะ คือ เรือยอชต์พวกนี้เป็นของโบรกเกอร์กับพวกนายธนาคารนะ”

ชายคนนั้นตกใจและตะลึงมาก ด้วยความเป็นคนซื่อเลยถามกลับด้วยความสงสัยว่า

“แล้วเรือยอชต์ของพวกลูกค้าอยู่ไหนล่ะ?”

Where are the customers’ yachts?

นี่คือชื่อหนังสือการเงินที่ผมพึ่งอ่านจบ (มีแปลไทยครับ) เป็นหนังสือที่ Warren Buffett จะแนะนำใหัคนอ่านบ่อย ๆ ลักษณะการเขียนแนวอารมณ์ขันเสียดสีวงการการเงิน ในประเด็นหลัก ๆ ว่า เงินของลูกค้าไหลเข้ากระเป๋าของนักการเงินทั้งนายหน้าค้าหุ้น นายธนาคาร ที่ปรึกษาทางการเงิน นักวิเคราะห์ ผู้จัดการการลงทุนไปซะหมด ดังที่เขาเสียดสีให้เห็นภาพว่า เงินเหล่านั้นกลายเป็นเรือยอชต์ไปหมดแล้ว

ผู้เขียน (Fred Schwed Jr.) เลือกประเด็นต่าง ๆ มาเขียนอย่างน่าสนใจ แถมมีมุกตลกสอดแทรกที่หลายครั้งขำมากเพราะมันเป็นตลกร้าย เช่น

(1) ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ทำนายตลาดแทบจะไม่ถูก แต่เขาก็จะทำนายจะวิเคราะห์ต่อไป ด้วยหน้าที่การงานต่าง ๆ ความคิดที่ว่าตลาดการเงินเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ กลับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ในความคิดของคนวงการการเงินส่วนใหญ่ เพราะถ้ายอมรับก็เท่ากับว่าแนวทางการทำรายได้ก้อนใหญ่หายไปหนึ่งแหล่ง ลามไปถึงความคิดของนักลงทุนรายย่อยที่ก็เชื่อไปกับเขาด้วยว่า ตนนั้นมีสามารถจับจังหวะและทำนายตลาดได้

(2) การพยากรณ์มักจะมาพร้อมกับการซื้อขายหุ้น เมื่อลูกค้าสนใจว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ลูกค้าจะได้คำตอบมากมายยืดยาว ทั้ง ๆ ที่พวกเขาควรจะตอบสั้น ๆ แค่ 3 พยางค์ว่า “ผมไม่รู้” !! และในความเป็นจริงนั้นสำหรับชาว Wall Street แล้ว

มันแทบจะมีโอกาสน้อยมากที่คุณจะได้รับคำตอบที่ออกจากปากที่ยากที่สุดของวงการการเงิน ซึ่งคำตอบที่ว่านั้นก็คือ “ผมไม่ทราบ[1. Fred Schwed Jr., ไหนล่ะเรือยอชต์ลูกค้า หรือจ้องตาวอลล์สตรีท, แปลโดยวิรัตน์ รัตนเวชสิทธิ (กรุงเทพมหานคร: ลีฟ ริช ฟอร์เอฟเวอร์, 2561), 51.] 

การยกตัวอย่างนี้ของ Schwed ทำให้ผมนึกถึงเวลาหุ้นขึ้นหุ้นลงแล้วจะต้องมีคนถามเสมอว่า ทำไมหุ้น XYZ ราคาเปลี่ยนแปลงอ่ะ / มีข่าวอะไรหรอทำไมวันนี้หุ้นขึ้น / ทำไมหุ้นลง – 0.5% ล่ะ — ดูเหมือนว่าวงการการเงินและสื่อทางด้านการเงินจะมีคำตอบให้เราเสมอว่าทำไมหุ้นมันขึ้นมันลง ซึ่งสามารถยกมาได้ตั้งแต่นโยบายการเงินของประเทศโน่นนี้ จนไปถึงการยกประเด็นที่เป็นกระแสหลักดูน่าเชื่อถือว่าประชาชนตกใจหดหู่กับสิ่งใด

(3) พฤติกรรมของนักลงทุนเองที่ทำให้นักลงทุนขาดทุนและจนลง เช่น การซื้อขายหุ้นตามอารมณ์ การกู้ยืมมาลงทุน การซื้อหุ้นแพงตามกระแส ฯลฯ และ Schwed ยังมักสอดแทรกข้อคิดทางการเงินที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น เขาบอกว่า “ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการลงทุน คือ ความพยายามให้ได้ผลตอบแทนที่สูงเกินไป ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงสูงจนน่าเศร้า”[1. เรื่องเดียวกัน, หน้า 175.]

โดยส่วนตัวคิดว่าหนังสือเล่มนี้สมคุณค่าที่ถูกยกย่องโดยนักลงทุนเอกหลาย ๆ คนครับ มันไม่ใช่หนังสือสอนว่าจะทำเงินยังไง แต่กำลังจะยกตัวอย่างให้เราฉุกคิด ไตร่ตรอง และระมัดระวังเวลาลงทุน โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงไม่เสียเงินโดยไม่จำเป็นในการลงทุนที่อุตสาหกรรมการเงินพยายามล้วงไปจากกระเป๋าเรา

ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องเรือยอชต์นี่ก็คล้าย ๆ กับคำเปรียบเปรยในแนวเดียวกันของ Buffett ที่ว่า[1. “Wall Street is the only place that people ride to in a Rolls-Royce to get advice from those who take the subway.” See Mary Buffett and David Clark, The Tao of Warren Buffett: Warren Buffett’s words of wisdom explained (London: Pocket Books, 2008), 9]

“วอลล์สตรีทเป็นที่ที่แปลก ที่นักธุรกิจผู้ขับรถหรูมาขอคำแนะนำว่าจะทำเงินยังไงจากคนที่เดินทางมาทำงานโดยรถไฟฟ้า”

แชร์ลูกโซ่ ในคราบหุ้น ทองคำ VC และอีกสารพัด

“วิธีป้องกันการถูกหลอกจาก แชร์ลูกโซ่”

ช่วงนี้รู้สึกว่าจะพบหรือได้ยินบ่อยจากทั้งคนใกล้และคนไกลตัว กรณีมีคนมาชักชวนไปลงทุนนู่นนี่นั่นที่จะให้ผลตอบแทนดีมาก ซึ่งมันมากในระดับที่คุณควรจะสงสัยว่า ดีขนาดนี้มาชวนทำไม? ถ้ามันดีจริงก็เก็บไว้ลงทุนคนเดียวไม่ดีกว่าหรอ? เวลาใครมาชักชวนไปทำหรือลงทุนอะไรโดยที่ผลตอบแทนมันสูงเว่อร์วังอลังการ โดยปกติพวกนี้มักจะหวยออกว่า จริง ๆ แล้วมันเป็นการหลอกไปลงนรก หลอกให้เราไปลงเงินกับ “แชร์ลูกโซ่” นั่นเอง

1. แชร์ลูกโซ่ คืออะไร?

“แชร์ลูกโซ่” (Ponzi scheme or pyramid scheme) สรุปคร่าว ๆ ง่าย ๆ ให้ลองนึกภาพ นาย A หลอกเอาเงินจากนาย B, C, D มา 3 คน สัญญาว่าจะเอาไปทำอะไรสักอย่างแล้วคืนเป็นผลตอบแทนให้ ต่อมานาย A ก็ไปหลอก E, F, G เอาเงินมาเพื่อไปจ่ายผลตอบแทนที่สัญญาไว้กับ A, B, C แล้วก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงนาย X, Y, Z และปกตินาย A มักจะหลอกว่าถ้า A, B, C ไปหาใครให้เอาเงินมาเพิ่ม เขาจะได้ผลตอบแทนเพิ่มไปอีก

ด้วยเหตุนี้ แชร์ลูกโซ่ จึงเป็นมหกรรมการลากคนไปลงนรกที่จะขยายไปเรื่อย ๆ แต่ด้วยกฎแห่งคณิตศาสตร์ วันหนึ่งในอีกไม่นานมันก็จะต้องถล่มแน่นอน ในไทยเราที่ดัง ๆ สมัยก่อนก็แชร์ลูกโซ่แม่ชม้อยนั่นล่ะครับ

สมัยก่อน แชร์ลูกโซ่ มักจะใช้รูปแบบการกู้ยืมเงินจากเหยื่อ บอกเอาไปปล่อยกู้อะไรก็ว่าไป สมัยนี้มันก็จะมาในรูปของการลงทุนในต่างประเทศ น้ำมัน ทองคำ Hedge Fund หรือ Venture Capital (VC) หรือ Private Fund (PF) คือ การหลอกลวงสมัยนี้จะอาศัยเทรนด์ลงทุนสมัยใหม่บังหน้า แต่อย่างไรก็ดี ยังไงมันก็คือเหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่ที่ยังเหมือนเดิมในทุกยุคสมัย คือ ความโลภคน พวกนี้มันก็เลยยังหลอกคนกันได้อยู่

2. รูปแบบการหลอกลวงของ แชร์ลูกโซ่

เรามาดูวิธีสังเกตรูปแบบการหลอกลวงเพื่อจะได้ปฏิเสธแชร์ลูกโซ่พวกนี้ได้กันครับ

2.1 อ้างว่าจะนำไปลงทุนอะไรที่ดูยาก ๆ 

ไม่ว่าเขาพูดว่าเอาไปลงทุนอะไรที่มันแปลกใหม่ เลยได้ผลตอบแทนดีกว่าปกติก็ตาม ตามกฎการลงทุน ถ้าเราไม่รู้ ให้พูดว่า ไม่! เสียก่อน ถ้าเขาบอกว่าไปลงทุนใน VC หรือ PF ให้คุณนึกไว้ก่อนว่า โดยปกตินักลงทุนรายย่อยจะไปลงทุนในพวก VC หรือ PF ที่เขาลงทุนกันเป็นอาชีพไม่ได้หรอก พวกนี้มันมีไว้สำหรับมืออาชีพจริง ๆ

พวกธุรกิจตั้งใหม่ (startup company) ได้เงินลงทุนก้อนใหญ่เป็นหลักร้อยล้านพันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนมืออาชีพ เช่น จาก Softbank หรือ Sequoia Capital นักลงทุนและแหล่งทุนการเงินระดับโลก แล้วทำไมเขาจะต้องมาเอาเงิน 10,000 หรือ 100,000 บาทจากพวกคุณด้วย เพราะฉะนั้น บอกปัดไปให้หมดครับ อย่าไปเสียดายว่าฉันกำลังจะตกรถ กำลังจะรวย โปรดจำไว้ว่า เสียดายยังดีกว่าเสียเงิน

พวกเครื่องมือการลงทุนอย่าง VC หรือ PF นั่น แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระดับโลกยังเตือนนักลงทุนทั่วไปเลยว่า พวกกองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Fund) กองทุนรวมลงทุนอย่าง Private Equity Fund หรือกองทุนร่วมลงทุนบริษัทตั้งใหม่อย่าง Venture Capital ไม่เหมาะเลยกับนักลงทุนรายย่อย และพวกนักลงทุนทั่วไปจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการลงทุนพวกนี้[1. Burton G. Malkiel, A Random Walk down Wall Street: The Time-tested Strategy for Successful Investing, 11th ed. (New York: W. W. Norton & Company, 2016), 325.] (ซึ่งเป็นการลงทุนใน VC และ PF จริง ๆ ที่ไม่ใช่การหลอกลวงแชร์ลูกโซ่นะครับ) นักลงทุนที่ชาญฉลาดควรจะเพิกเฉยและอย่าไปสนใจกับการลงทุนที่แปลกประหลาดพวกนี้น่าจะดีซะกว่า[1. Burton G. Malkiel and Charles D. Ellis, The Elements of Investing: Easy Lessons for Every Investor, updated ed. (Hoboken: Wiley, 2013), 103-105.]

2.2 อ้างผลตอบแทนสูงจนขนลุก

นอกจากเรื่องการอ้างศัพท์แปลก ๆ ขั้นต่อมาให้ดูเรื่องผลตอบแทนที่เขาจะให้เรา ถ้าผลตอบแทนมันเกิน 10% ทบต้นต่อปีในระยะยาวนี่ก็แทบจะเป็นเรื่องที่งมเข็มในการลงทุนจริง ๆ เพราะตลาดหุ้นระยะยาวเป็น 100 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปีเท่านั้นเองครับ นี่คือ “ต่อปี” นะครับ พวกที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อเดือน! หรืออะไรที่มันเว่อร์ ๆ ขนาดนั้น เราจะต้องวิ่งหนีครับ! เช่น ลงทุน 100,000 ให้ผลตอบแทน 10,000 บาทต่อเดือน ลงทุน 10,000 ให้ผลตอบแทน 3,000 ต่อเดือน คือ ถ้ามันอลังการขนาดแบบนี้ควรปฏิเสธไปเลย

อย่างดอกเบี้ยกู้ยืมเงินที่ถูกกฎหมายสำหรับคนทั่วไป คือ 15% ต่อปีเท่านั้น[1. มาตรา 654 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี.”] คนเหล่านี้ที่สัญญากับเราจะให้ผลตอบแทนเว่อร์ ๆ จะไปหาผลตอบแทนจากไหนมาเสกให้เรากัน กลับไปอ่านข้างบน เขาก็เอาเงินจากเหยื่อคนอื่น คนที่หลงเชื่อมาให้เรายังไงล่ะครับ

ลองดูตัวอย่างการหลอก

(Q) “สอบถามครับ ใครมีข้อมูลก็แชร์กันเรื่อง ลงทุนเทรดหุ้นสหรัฐ เปิดพอร์ทที่สิงคโปร์ ขั้นต่ำ 400,000 บาทได้ผลตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท ประมาณ 6 เดือนก็คืนทุน อะไรประมาณนี้ พอดีพี่สาวเป็นพยาบาล ตำรวจ มีน้อง ๆ ที่รู้จักลงทุนนี้อยู่ เลยมาชวนพี่สาว ผมลองหาข้อมูลในเน็ตแล้ว แต่ยังไม่เจออะไรครับ ถ้าใครมีข้อมูลก็แนะนำ แชร์ได้ครับ…”

(A) คำถามข้างบนเป็นตัวอย่างอันดีนะครับ ที่พูดมานั้น 4 แสนบาท 6 เดือนคืนทุน นี่ก็เข้าตามเกณฑ์ต้องระวังข้างบนแล้ว นอกจากนี้เรื่องเปิดพอร์ตหุ้นเพื่อลงทุนหุ้นต่างประเทศ มันมีบริษัทหลักทรัพย์ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. ซึ่งก็คือ พวกโบรกเกอร์ที่คนทั่วไปเปิดบัญชีหุ้นปกติสามารถเปิดบัญชี offshore ในไทยไปลงทุนหุ้นในต่างประเทศได้ถูกกฎหมายอยู่แล้วครับ

น่าแปลกใจว่า ทำไมพอยกเรื่องอะไรต่างประเทศหรืออะไรที่มันดูยาก ๆ คนถึงไม่ทบทวนความคิด ผมถึงได้อธิบายว่า รูปแบบข้างในมันเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนโฆษณาใหม่ไปเรื่อย ๆ ก็เท่านั้นเอง มันเล่นกับความโลภคนครับ (และดูจะเล่นกับคนโลภได้ทุกยุคทุกสมัยเสียด้วย)

3. ต้มกบ : คืนเงินนิดหน่อยให้ตายใจ

พวกแชร์ลูกโซ่นั้นถ้าใครหลงเข้าไปลงทุน มันจะจ่ายผลตอบแทนให้ก่อนเพื่อยืนยันว่านี่ไง ฉันมีจ่ายนะ คนกลุ่มหนึ่งที่จะตกหลุมพราง คือ คนที่ลงทุนตอนแรกน้อย ๆ เพราะกลัวและสองจิตสองใจ แต่พอได้เงินคืน (น้อย ๆ) ตามคำรับรองก็จะเริ่มอยากลงทุนเยอะขึ้น

ยกตัวอย่างที่มักจะได้ยินบ่อย หากคุณลงทุนกับเราวันนี้จะได้ผลตอบแทนเดือนละ 10% จากเงินต้น เมื่อคุณลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท เดือนถัดมาเขาก็จะให้คุณมาล่ะ 1,000 (ร้อยละสิบของหนึ่งหมื่น) เดือนต่อมาก็ยังได้อีก เอาล่ะ คุณเริ่มตาลุกวาว รอบนี้ซัดเลย 100,000 บาท เดือนต่อมาเขาจ่ายให้ 10,000 บาท แต่แล้วเดือนถัดไป มันก็เริ่มเบี้ยวไม่จ่ายล่ะ

บทสรุปเลยกลายเป็นว่าผู้ที่ถูกหลอกนี้ได้ลงเงินไปทั้งสิ้น 10,000+100,000 = 110,000 และได้รับเงินคืนมาในลักษณะกำไรให้ติดเบ็ด 12,000 บาท ซึ่งภาพสุดท้ายก็คือเสียเงินไปทั้งสิ้น 98,000 บาท สิ้นเนื้อประดาตัว ใครที่คิดจะลองขอให้จำตัวอย่างนี้ให้ดี ๆ

นอกจากนี้ พวกแชร์ลูกโซ่นี้มักจะมีโปรเงื่อนไขให้เติมเงินเข้าไปลงทุนเรื่อย ๆ แล้วจะจ่ายผลตอบแทนสูงขึ้น หรือให้ไปหาคนอื่นมาร่วมลงทุน ซึ่งเตรียมใจได้เลยว่า คราวนี้สิ่งที่จะต้องเตรียมรับ คือ เวลาคุณอยากถอนเงิน คุณจะไม่ได้ถอนครับ เขาจะมีข้ออ้างไปหมด ร้ายแรงสุด คือ ให้หาคนมาลงทุนเพิ่มจะได้ถอนเงินได้

ดังนั้น แชร์ลูกโซ่มันทำร้ายความเชื่อมั่นในสังคมหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งลากเพื่อน ลากญาติพี่น้องตัวเองลงไปประสบเคราะห์กรรมด้วย ทำให้บางคนมีความรู้สึกว่า ฉันรอด ฉันไม่เป็นไร ฉันได้เงินคืนก็พอ ใครจะเจ๊งจะสูญเสียและประสบปัญหาชีวิตก็ช่างมัน มันจึงทำให้ญาติหรือคนที่เรารู้จัก เพื่อนที่รักของเรา เป็นอสูรร้ายทางการเงิน อุปมาว่า ถ้าเธอทำลายชีวิตคนรู้จักเธอได้ (ด้วยการหลอกมาลงแชร์ลูกโซ่ด้วย) เธอก็จะรอด

แล้วมันรอดจริงหรือ? ไม่รอดหรอกครับ แถมพาคนที่ตัวเองรักตายตกตามกันไปด้วย

ผมนึกถึงคนจำนวนมากที่แสดงความคิดเห็นด่าทอใส่คนที่ไปแจ้งความว่า กำลังทำเรื่องให้ยุ่งยาก สาเหตุก็เพราะพวกเขากลัวจะไม่ได้เงินคืน พวกเขาก็แค่อยากให้ตัวเองได้เงินคืนก่อนก็พอ ฉันรอด สังคมจะพัง คนอื่นจะเจ๊ง ปล่อยแม่ง! นี่ก็เป็นความน่ากลัวอย่างหนึ่งของพวกแชร์ลูกโซ่ที่เปลี่ยนใจคนให้เป็นยักษ์เป็นมารกันไปหมดแล้ว

แถมจริง ๆ แล้ว ผมคิดว่า คนกลุ่มหนึ่งก็น่าจะเอ๊ะใจตั้งแต่ถูกชวนไปลงทุนแล้วล่ะ เพียงแต่ความโลภมันบังตาครับ บางคนก็คิดว่า ไม่เป็นไร ฉันแค่ขายหรือออกมาทันก็พอ ไม่ใช่คนที่ลุกช้าก็โอเค แต่ปกติคนเหล่านี้ไม่ทันหรอกครับ ส่วนใหญ่ได้ล้างจานปิดงานกันหมด

4. ทวนซ้ำวิธีระวัง แชร์ลูกโซ่

ด้วยเหตุนี้ อย่าให้ความโลภของเราทำให้เราต้องพลาดเลยครับ อะไรที่มันไม่แน่ใจ อะไรที่มันดูดีเกินไป ให้ผลตอบแทนดีเกินไปในตลาดเงินตลาดทุนนั้น มันมีน้อยมาก ทั้งยังมีจำนวนน้อยรายที่คนบางคนจะทำผลตอบแทนได้สูง ๆ จากการลงทุน หรือมีน้อยสินทรัพย์ลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนสูง ๆ เกิน 10% ต่อปี คุณจำเลขผลตอบแทนพวกนี้ไปคร่าว ๆ ก็ได้ครับ เงินฝากประจำเฉลี่ยให้ผลตอบแทนต่อปี 2-3% พันธบัตร หุ้นกู้ทั่วไป 4-5% ต่อปี อสังหาริมทรัพย์ โดยเฉลี่ย 6-7% ต่อปี หุ้นไม่เกิน 10% ต่อปี และส่วนใหญ่ผลตอบแทนที่ได้มันคือ ผลตอบแทนจากการ ลงทุนระยะยาว

ถ้าจะเอาผลตอบแทนระยะสั้นสูง ๆ หรือต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่สูงกว่านี้ มันต้องอาศัยฝีมือ ความเสี่ยง และอะไรอีกมากมาย มันไม่มีทางจะได้มาง่าย ๆ แบบที่ใครคนหนึ่งที่เดินมาบอกคุณว่า เอาเงินมาลงทุนกับผมสิ เดี๋ยวผมให้เท่านั้นเท่านี้ต่อเดือน

การพูดว่า ไม่ !!! ในเรื่องลงทุน รวมไปถึงการ อยู่เฉย ๆ ไม่โลภไปลงทุนอะไรที่เราไม่รู้จัก ถือว่าเป็นยันต์กันผีที่ทำให้ชีวิตเราปลอดภัยทางการเงินอย่างสบาย ๆ ครับ

Project “A”

โปรเจกต์ A นี้ผมตั้งชื่อให้เต็ม ๆ ว่า Project “Accumulating Wealth” โดยจะเป็นพอร์ตทดลองวิธีการลงทุนแบบประจำ (regular savings plan) ซึ่งเบื้องหลังแนวคิดที่มาของโปรเจกต์นี้ คือ หลักการคุณค่าสำคัญ (core value) 2 ประการ คือ การลงทุนแบบประจำ (regular investment or DCA) กับ การลงทุนเชิงรับในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ๆ (passive investment + low-cost index) ซึ่งท่านสามารถทำความเข้าใจได้จากบทความต่าง ๆ เหล่านี้ครับ 

START!!

โปรเจกต์นี้เริ่มต้นซื้อครั้งแรกวันที่ 28/06/2018 จะซื้อปีละ 25,000 บาท โดยจะแบ่งซื้อเดือนละ 2,000 บาท และจะมีหนึ่งเดือนที่ซื้อเพิ่ม 1,000 บาท ซึ่งจะทำการลงทุนเป็นประจำทุกวันที่ 28 ในกองทุนดัชนีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ คือ กองทุนทหารไทยเซ็ต 50 (TMBSET50) ไม่มีกำหนดเลิกครับ ลงทุนไปเรื่อย ๆ และจะทำการอัพเดตมูลค่าทุกปีครับ

projecta

 

ETF หรือ Exchange Traded Fund คืออะไร?

กองทุน ETF (Exchange Traded Fund) หรือ “อีทีเอฟ” เป็นกองทุนรวมชนิดหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษสำคัญ คือ สามารถทำการซื้อขายได้ทันที (real-time) ตามเวลาทำการของตลาดหุ้นที่อีทีเอฟนั้นจดทะเบียนซื้อขายอยู่ ในแง่นี้ ซื้อกองทุนอีทีเอฟจึงเหมือนกับการซื้อหุ้นตัวหนึ่ง เมื่อซื้อแล้วมันก็จะปรากฏในบัญชีหลักทรัพย์หรือพอร์ตลงทุนที่นักลงทุนมีกับบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (broker)

1. ETF คืออะไร?

ETF จะเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนแบบเชิงรับ (passive) ต้องการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนี (index) หรือราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนอีทีเอฟนั้นใช้อ้างอิง พูดอีกอย่างก็คือ จริง ๆ แล้ว ETF ก็คือกองทุนดัชนี (index fund) ประเภทหนึ่ง นั่นล่ะครับ เพียงแต่ว่ามันสามารถซื้อขายได้ทันทีในตลาดหลักทรัพย์ ในแง่นี้จึงต่างกับกองทุนรวมทั่วไป (mutual fund) ที่ปกติ ในประเทศไทย นักลงทุนที่อยากลงทุนกองทุนรวมก็จะไปซื้อกองทุนประเภทนี้ที่ธนาคาร เพราะปกติธนาคารเป็นตัวแทนที่สะดวกที่สุดในสายตาคนทั่วไป สำหรับการซื้อขายกองทุนรวมที่บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งบลจ.ก็มักจะเป็นผู้ที่บริหารจัดการและเสนอขายกองทุนอีทีฟด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ หลักการทุกอย่างของกองทุนดัชนี จึงต้องถูกนำมาใช้กับกองทุนอีทีเอฟด้วย เพราะฉะนั้น นักลงทุนควรอ่านบทความต่อไปนี้เสียก่อนจะทำให้เข้าใจกองทุนอีทีเอฟได้ดีขึ้น : (1) กองทุนดัชนี คืออะไร (2) ประวัติศาสตร์กองทุนดัชนี (3) กองทุนดัชนีในไทย (4) กองทุนดัชนี กับคำแนะนำของกูรู และ (5) บทความอื่น ๆ เกี่ยวกับกองทุนดัชนี

เนื่องด้วยวัตถุประสงค์ของกองทุน ETF และจุดขายหลัก คือ การเป็นกองทุนรวมที่ซื้อขายเปลี่ยนมือได้โดยสะดวก เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการซื้อขายสินทรัพย์หรือดัชนีอ้างอิงได้แบบ ณ เวลานั้นเลย ด้วยเหตุนี้จึงมีหนึ่งบุคคลที่เข้ามารับทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องให้กับการซื้อขายกองทุนอีทีเอฟเรียกว่า “Market Maker” (ผู้ดูแลสภาพคล่อง)

โดยทางบลจ. ผู้ออกกองทุนอีทีเอฟ จะมีการแต่งตั้ง Market Maker เพื่อให้ทำหน้าที่ส่งคำสั่งเสนอซื้อเสนอขาย (bid-offer) หน่วยของกองทุนอีทีเอฟ ในระหว่างที่ตลาดหุ้นมีการซื้อขาย จะได้มีหน่วยของอีทีเอฟปรากฏตลอดเวลาสอดคล้องกับสภาวะตลาดและดัชนีอ้างอิง ให้นักลงทุนที่สนใจสามารถซื้อขายได้ทันที ทั้งนี้นักลงทุนอาจเปรียบเทียบราคากองทุนอีทีเอฟกับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยประมาณ (iNAV = Indicative Net Asset Value) ที่แสดงควบคู่กันระหว่างเวลาซื้อขายได้

2. iNAV คืออะไร?

iNAV คืออะไร? อธิบายง่าย ๆ ได้ว่า เป็นมูลค่าของ ETF ที่ใกล้เคียงที่สุดกับมูลค่าของ ETF ที่ควรจะเป็น ลองนึกภาพเวลาซื้อกองทุนรวมทั่วไป (mutual fund) ที่ธนาคาร นักลงทุนมักจะรู้ว่าราคา NAV (ราคาสินทรัพย์สุทธิของกองทุนที่ได้หักหนี้สินและค่าใช้จ่ายไปแล้ว) เป็นเท่าไหร่ ก็ตอนหลังจากตลาดหุ้นปิดไปแล้ว (ในกรณีที่ซื้อกองทุนหุ้นไทย)

หากแต่กองทุนอีทีเอฟมีการซื้อขายตลอดเวลาที่ตลาดหุ้นทำการอยู่ ดังนั้น ราคาจึงมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว เพราะอย่างกองทุนอีทีเอฟที่เลียนแบบดัชนี SET50 นั้น นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นรายตัวน่าจะเห็นภาพว่าดัชนี SET50 มีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาที ดังนั้น กองทุนอีทีเอฟที่ขายในตลาดหลักทรัพย์ก็ควรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

เพราะฉะนั้น iNAV จึงเป็นการคำนวณราคา NAV ของกองทุน ETF ตลอดเวลา และ Market Maker ก็จะทำการส่งคำสั่งซื้อขายและพยายามทำให้ราคากองทุนอีทีเอฟสอดคล้องใกล้เคียงกับราคา iNAV ครับ

อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องยากที่ราคาของกองทุนอีทีเอฟกับ iNAV จะเท่ากัน เนื่องจากประเด็นเกี่ยวข้องกับเงินปันผล ช่องว่างระหว่างราคาซื้อขาย (bid-ask spread) ช่องว่างราคาของหุ้นอ้างอิงของกองทุน แล้วก็เสียงรบกวนของตลาดรวมถึงความล่าช้าของข้อมูลในการซื้อขายหลักทรัพย์[1. Richard A. Ferri, All About Index Funds: The Easy Way to Get Started, 2nd ed. (New York: McGraw-Hill, 2007), 62.]

3. เดินทัวร์ ETF ในประเทศไทย

การลงทุนกองทุนอีทีเอฟในประเทศไทย สามารถทำได้โดยการเปิดบัญชีหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทั้งหลาย เพราะ กองทุนอีทีเอฟส่วนใหญ่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และโดยปกติการซื้อขายกองทุนอีทีเอฟต้องมีขั้นต่ำการซื้อเป็น board lot คือซื้อครั้งละอย่างน้อย 100 หน่วย (ดูรายชื่อ ค่าสถิติ และคำอธิบายเบื้องต้นได้ตาม links นี้ของตลาดหลักทรัพย์ครับ

อย่างที่ได้บอกไปตอนต้นครับ กองทุนอีทีเอฟก็เป็นดั่งกองทุนดัชนีชนิดหนึ่ง มันก็เหมือนกองทุนรวมดัชนีทั่วไปที่อาจลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลาย ตามที่นโยบายลงทุนของกองทุนอีทีเอฟนั้นกำหนด ว่าจะลงทุนและเลียนแบบสินทรัพย์อ้างอิงหรือดัชนีอันไหน จึงมีได้ทั้ง ETF ที่ลงทุนเลียนแบบดัชนีตราสารหนี้ ดัชนีตราสารทุนหรือหุ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ลงทุนเลียนแบบดัชนีอ้างอิงกลุ่มอุตสาหกรรม หรือสินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ ทั้งทองคำ หรือน้ำมัน เป็นต้น

ในประเทศไทยนั้น กองทุนอีทีเอฟมักจะนิยมลงทุนเลียนแบบสินทรัพย์และดัชนีเหล่านี้

  • เลียนแบบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) เช่น กองทุนที่เลียนแบบดัชนี SET50 อย่าง TDEX หรือ ESET50 หรือกองทุนที่เลียนแบบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ประเภทอื่น เช่น กองทุน TH100 และ BSET100 ซึ่งเลียนแบบดัชนี SET100 และ BMSCITH ซึ่งเลียนแบบดัชนี MSCI Thailand ex Foreign Board Index
  • เลียนแบบดัชนีหุ้นอื่น ๆ เช่น 1DIV เลียนแบบดัชนี SET High Dividend 30 หรือ BMSCG เลียนแบบดัชนี BCAP Mid Small Cap CG Index TR
  • เลียนแบบตราสารหนี้ เช่น กองทุน ABFTH
  • เลียนแบบดัชนีอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อย่าง EICT หรือ EFOOD (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม) ECOMM (ธุรกิจพาณิชย์) EBANK (ธุรกิจธนาคาร)
  • เลียนแบบหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น CSI300 เลียนแบบดัชนีหุ้น CSI 300 Index ของจีน
  • เลียนแบบสินทรัพย์หรือดัชนีอ้างอิงอื่น เช่น ลงทุนในกองคำ อย่าง TGOLDETF (ธนชาตอีทีเอฟทองคำแท่ง) GLD หรือลงทุนเลียนแบบดัชนีอ้างอิงน้ำมัน อย่าง ENY หรือ ENGY 
36114200_2201689639847063_331579609919258624_n
ตัวอย่างหน้าจอการซื้อขาย ETF ผ่านมือถือ

4. เปรียบเทียบ ETF กับกองทุนรวมทั่วไป

คำถามที่น่าสนใจ คือ ในกรณีที่เราอยากลงทุนกองทุนดัชนี เราควรลงทุนกองทุนรวมทั่วไป (mutual fund) หรือ ลงทุนผ่านกองทุนอีทีเอฟอันไหนจะดีกว่ากัน ?

เรามาลองเทียบกันทีละประเด็นดีกว่าครับ

(I) ด้านสินทรัพย์ที่ลงทุน

ทั้งคู่ก็มีความหลากหลายสำหรับกรณีที่เราอยากจะลงทุนในสินทรัพย์หรือเลียนแบบดัชนีประเภทต่าง ๆ เพียงแต่ว่า ณ ปัจจุบัน กองทุนรวมทั่วไปน่าจะมีตัวเลือกที่มากกว่า แต่สำหรับสินทรัพย์ธรรมดาอย่าง กองทุนดัชนีหุ้น SET50, SET100 ทั้งคู่ล้วนมีให้เลือกลงทุนครับ

(II) ด้านภาษี

กองทุนรวมได้รับการยกเว้นภาษีส่วนต่างกำไร (capital gain) เมื่อทำการขายคืนบลจ. และกองทุนอีทีเอฟก็ยกเว้นตรงนี้ผ่านกฎหมายอีกฉบับในลักษณะของการขายหลักทรัพย์อย่างกองทุนอีทีเอฟผ่านตลาดหลักทรัพย์ก็จะได้ยกเว้นภาษีส่วนต่างกำไรเช่นเดียวกับการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และสิ่งที่เหมือนกัน คือ ในกรณีที่มีการจ่ายเงินปันผล สำหรับบุคคลธรรมดา จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ซึ่งเลือกได้ว่าจะหักทิ้งไปเลย หรือจะนำไปรวมคำนวณภาษีกับรายได้อื่น

(III) ด้านเวลาในการซื้อขาย

กองทุนอีทีเอฟย่อมมีข้อดีในเรื่องของการซื้อขายได้ทันที (real-time) เพราะฉะนั้น เช่นในกรณีของกองทุนหุ้น นักลงทุนสามารถดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์พร้อมทั้งตัดสินใจซื้อขายบนดัชนีอ้างอิง ณ เวลานั้น ๆ สมมติเราเห็นดัชนี SET Index อยู่ที่ 1500 จุด เราเห็นว่าตัวเลขนี้น่าสนใจ เราก็สามารถทำการซื้อขายได้เลย

ในขณะที่กองทุนรวมทั่วไป นักลงทุนจะได้ราคาเดียวกัน คือ ราคา ณ เวลาปิดทำการตลาดหลักทรัพย์ แม้ในเวลาระหว่างวันดัชนี SET Index จะแกว่งที่ 1500-1550 จุด แต่ถ้าเวลาปิดทำการ ตัวเลขดัชนีปิดที่ 1550 จุด นักลงทุนที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมทั่วไปก็จะได้ราคาเดียวกัน คือ ซื้อ ณ ที่ดัชนีอ้างอิง 1550 จุดครับ

นอกจากนี้ เรื่องของเวลาซื้อขาย การซื้อกองทุนอีทีเอฟสามารถซื้อได้ตามเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์ คือ ตอนเช้าช่วง 10.00-12.30 ตอนบ่ายช่วง 14.30-16.30 แต่สำหรับกองทุนรวมทั่วไป ปกติแล้วบลจ.จะให้ท่านส่งคำสั่งซื้อขายตามเวลาทำการธนาคารพาณิชย์กรณีซื้อที่สาขา ซึ่งมักจะเป็นช่วง 8.30-15.30 หรืออาจซื้อได้ตลอดเวลาในกรณีซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต หากแต่คำสั่งจะทำการในช่วงเวลาทำการอยู่ดี คือ มักจะปิดรับคำสั่งช่วง 15.30-16.00 ถ้าหมดเวลานี้ คำสั่งจะยกยอดไปซื้อในอีกวัน

(IV) ด้านความสะดวก

ผมคิดว่ามันก็สะดวกทั้งคู่นะครับ คือ หลังจากที่เราเปิดบัญชีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีหลักทรัพย์กรณีซื้อกองทุนอีทีเอฟ หรือเปิดบัญชีกองทุนรวมทั่วไปที่ตัวแทนขายอย่างธนาคารต่าง ๆ หลังจากนั้นเราก็สามารถซื้อผ่านอินเตอร์เน็ตได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยการเข้า Streaming หรือเข้า mobile/internet banking

มีอันหนึ่งที่ผมว่าต่าง คือ มันจะมีเอกสิทธิ์อะไรบางอย่างแตกต่างกันไป อย่างกรณีซื้อกองทุนรวมผ่านธนาคารบางเจ้า มันจะถูกนับเป็นสินทรัพย์ที่ลูกค้าซื้อผ่านธนาคาร ซึ่งจะนำไปสู่การบริการแบบสิทธิพิเศษ เช่น กรณีของ K-Wisdom (สมมติเรามีกองทุนผสมเงินฝากเกิน 10 ล้านบาท) ถ้า 50 ล้านก็กลายเป็น K-Private Banking ซึ่งธนาคารอื่น ๆ ก็จะมีชื่อแตกต่างกันไป อาทิ SCB First, SCB Private Banking, Krungsri Prime, Krungsri Exclusive ฯลฯ

หากแต่ใช่ว่าการซื้อกองทุนอีทีเอฟผ่านโบรกเกอร์จะไม่มีเอกสิทธิ์อะไรแบบนี้ ต้องไปดูเงื่อนไขบล.ที่ใช้บริการครับ เพราะบางที่ก็มีเอกสิทธิ์สำหรับลูกค้าพอร์ตใหญ่ ๆ เช่นกัน

5. ค่าใช้จ่ายของกองทุน ETF

แต่สำหรับนักลงทุนโดยไปทั่วแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่าย และ ค่าใช้จ่าย ซึ่งถ้าใครยังไม่รู้จักค่าใช้จ่ายของกองทุน ควรอ่านบทความนี้ก่อน > ค่าใช้จ่ายของกองทุนรวม!

โดยค่าใช้จ่ายที่ควรเปรียบเทียบกันระหว่าง กองทุนรวมทั่วไป (mutual) กับ ETF น่าจะแบ่งได้ 2 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้

(I) ค่าใช้จ่ายของกองทุนอีทีเอฟ

ในที่นี้ก็ได้แก่ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดของกองทุน ไล่ตั้งแต่ ค่าบริหารจัดการ (management fee) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบบัญชี ค่าผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนเองเวลากองทุนซื้อขายหุ้นในพอร์ตของกองทุน ฯลฯ

(II) ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายกองทุนอีทีเอฟ

ตรงนี้จะต่างกัน เพราะกองทุนรวมทั่วไปอาจจะมีพวกค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย (front-back loads) แต่สำหรับกองทุนรวมดัชนี ส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยมีค่าใช้จ่ายตรงนี้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ (transaction fees) ซึ่งเรียกเก็บกันที่ปกติ 0.10% ทั้งตอนซื้อและตอนขาย

ในขณะที่กองทุนอีทีเอฟค่าใช้จ่ายในการซื้อและขายขึ้นอยู่กับว่าค่าธรรมเนียมที่คุณจ่ายให้บล.ที่คุณเปิดพอร์ตนั้นเท่าไหร่ ค่าเฉลี่ยกลางสำหรับซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต คือ 0.1578% ซึ่งบางเจ้าก็จะมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำด้วยวันละ 50 บาทโดยประมาณ บางเจ้าก็ไม่มี

(III) ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

มันจะมีค่าใช้จ่ายในรูปแบบอื่น ซึ่งบางทีก็ไม่ได้เป็นการเรียกเก็บโดยตรง แต่ในบางตำราก็จะถือว่า เป็นสิ่งที่ลดทอนผลตอบแทนที่นักลงทุนควรจะได้รับ เช่น ค่าใช้จ่ายที่เป็นผลมาจากการเลียนแบบดัชนีอ้างอิงไม่ใกล้เคียง (tracking error) หรือ กรณีกองทุนอีทีเอฟสำหรับค่าใช้จ่ายที่มีมาจากการที่นักลงทุนซื้อขายกองทุนอีทีเอฟในราคาที่ห่างจาก iNAV หรือค่าใช้จ่าย bid-ask spread หรือ การที่กองทุนถือเงินสดระดับหนึ่งจนเกิด “Cash drag” พวกนี้คำนวณค่อนข้างยากครับ แต่เราต้องไม่ลืมมัน เราคำนวณมันเป๊ะไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายถึงมันไม่มี!!

ที่ผมจะลองสำรวจดู คือ ค่าใช้จ่ายของกองทุนอีทีเอฟประเภทที่เป็นกองทุนเลียนแบบดัชนีตลาดหุ้นไทยหลักอย่าง SET Index หรือ MSCI ในลักษณะของ broad-based index (กระจายการลงทุนเลียนแบบเกือบทั้งตลาดหุ้น) อย่าง SET50, SET100, MSCI Thailand นะครับ

etf-set

เมื่อดูตารางข้างบนเราจะพบคู่ท้าชิงที่น่าสนใจ คือ กองทุนเปิด KT-SET50-A กับกองทุน ETF ที่ลงทุนเลียนแบบดัชนี SET50 อย่าง TDEX ซึ่งทั้งคู่มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดต่ำที่สุด โดยค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดของ TDEX อยู่ที่ประมาณ 0.57% ต่อปี ส่วน TMB50 อยู่ที่ 0.65% ต่อปี ห่างกันประมาณ 0.08% ซึ่งค่อนข้างเป็นตัวเลขที่มีนัยยะสำคัญครับ

6. ประเด็นที่ต้องคำนึงระหว่าง ETF กับกองทุนรวมทั่วไป

แล้วเราควรลงทุนใน TDEX ที่เป็นกองทุนอีทีเอฟหรือเปล่า? การจะตอบคำถามนี้ได้ต้องพิจารณาทุกอย่างให้ครบถ้วนก่อน ลองวิเคราะห์ทีละประเด็นนะครับ

(1) ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของการลงทุนในกองทุนรวม คือ การเลือกนโยบายกองทุนว่าควรจะจ่ายปันผลหรือไม่ ซึ่งทางผมเองเคยเขียนวิเคราะห์ไว้ในบทความ “ความไม่เข้าใจเกี่ยวกับ “กองทุนปันผล”” ว่าทำไมเราถึงไม่ควรลงทุนในกองทุนที่จ่ายปันผล และบังเอิญว่า กองทุนอีทีเอฟเกือบทั้งหมด (รวมถึง TDEX) ก็มีนโยบายจ่ายเงินปันผล โดยปกติจะเขียนด้วยว่าจ่ายไม่เกิน 100% ของกำไร

การที่กองทุนจ่ายกำไรออกมาเป็นปันผล ส่วนนี้เราก็จะต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษี หรือหัก ณ ที่จ่ายทิ้งไปเลย 10% ซึ่งตรงนี้ก็จะลดทอนผลตอบแทนจากการลงทุนไปอีก ดังนั้น โดยส่วนตัวผมเองจึงไม่ลงทุนในกองทุนที่จ่ายปันผล ส่วนนักลงทุนจะตัดสินใจอย่างไรลองอ่านบทความข้างต้นให้เข้าใจแล้วตัดสินใจดูเอง

(2) เหตุผลของความแตกต่างที่เคยได้อธิบายข้างต้นมาว่า การลงทุนกองทุนอีทีเอฟสามารถซื้อได้ทันที real-time และตัวกองทุนอีทีเอฟอยู่ในพอร์ตบัญชีหลักทรัพย์ของ บล.

ส่วน mutual fund มักจะเป็นบัญชีอยู่กับบลจ.หรือตัวแทนขายกองทุนอย่างธนาคาร ซึ่งก็จะมีสิทธิประโยชน์แตกต่างออกไป และ mutual fund จะซื้อขายกันที่ราคาปิดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่ราคา real-time ของวัน

(3) ท่านต้องรวมค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ไปด้วย การซื้อ mutual fund ที่เป็นกองทุนรวมดัชนีปกติจะไม่มีค่าใช้จ่ายพวก loads แต่จะมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายขาเข้าและขาออกราว ๆ 0.10% ส่วนกองทุนอีทีเอฟขึ้นอยู่กับว่าโบรกเกอร์ที่ท่านใช้บริการคิดค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

(4) ข้อที่ต้องพิจารณาและสำคัญก็คือ ความสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนแบบประจำ (Regular investment หรือ DCA) กองทุนรวมดัชนีที่เป็น mutual ส่วนใหญ่มักจะสะดวกในเรื่องนี้ สามารถลงทุนเป็นประจำรายเดือนได้โดยเฉลี่ย 500 – 1000 บาทต่อเดือนโดยการตัดเงินในบัญชี

ในขณะที่กองทุนอีทีเอฟผมเข้าใจว่า ปัจจุบันก็มีคำสั่งที่ให้หักซื้อรายเดือนได้ แต่อาจจะเจอปัญหาเรื่อง board lot ขั้นต่ำ ทำให้อาจซื้อได้ไม่เต็มจำนวนเงิน ซึ่งต่างจาก mutual fund ที่สามารถหักซื้อได้เต็มจำนวน เพราะมันหารหน่วยให้ละเอียดได้เป็นทศนิยมหลายหลัก เงิน 1,000 บาทก็ซื้อเต็ม 1,000 บาท

(5) มีค่าใช้จ่ายแฝงอื่นในการซื้อกองทุนอีทีเอฟ เช่น ค่าใช้จ่ายจาก bid-ask spread คือ การที่เราซื้อกองทุนอีทีเอฟในตลาดหลักทรัพย์มันจะมีต้นทุนช่องว่างระหว่างราคา ซึ่งต้นทุนตัวหนึ่ง คือ iNAV กับราคาจริงที่คุณซื้อกองทุนอีทีเอฟมา แม้อาจจะดูเล็กน้อย แต่ก็ต้องไม่ลืมตรงนี้ด้วย

โดยสรุป แม้เราจะพบว่า ETF ในประเทศไทยบางกองมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่ากองทุนรวมดัชนีทั่วไป แต่ก็ต้องคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ประกอบ หากมองให้รอบด้านก็ไม่ได้หมายความว่า การลงทุนผ่านกองทุนรวมทั่วไปจะด้อยกว่า เนื่องด้วยข้อจำกัดบางอย่าง จึงไม่อาจเทียบตัวเลขพวกค่าใช้จ่ายแฝงให้เห็นประจักษ์ จึงขอให้นักลงทุนพิจารณาตัดสินใจบนข้อมูลที่ได้อธิบายไปด้านบนเองว่า นักลงทุนเหมาะสมหรือพิจารณาว่าจะลงทุนในกองทุนรวมหรือในกองทุนอีทีเอฟดี ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุนเองครับ

ปล. โดนส่วนตัว ผมเองไม่มีการลงทุนในกองทุนอีทีเอฟ เพราะคิดว่ากองทุนดัชนีทั่วไปที่เป็น mutual fund เมื่อพิจารณาหลายด้านแล้ว ข้อดีโดยรวมสูงกว่าการถือครองกองทุนอีทีเอฟครับ

ทองคำ และ กองทุนทองคำ เบื้องต้น – Gold 101

ทองคำ” เป็นโลหะชนิดหนึ่งที่อาจใช้ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ แต่มันได้ทำหน้าที่ (หรือจริง ๆ แล้วมีคนใส่หน้าที่ให้มันเพิ่มขึ้นต่างหาก) เช่น เป็นเงินทุนสำรองหนุนหลังการพิมพ์เงินและธนบัตร เป็นสินทรัพย์ที่มีราคาและเก็บเป็นสมบัติหรือมรดกตกทอดได้ ใช้บ่งบอกฐานะความร่ำรวยได้ และยังผูกพันกับชีวิตคนในหลายด้าน

สำหรับกรณีคนไทยก็เช่น สามารถเอา ทองคำ ไปหมั้นผู้หญิงได้ เอาไปหล่อพระพุทธรูปเพื่อเคารพสักการะก็ได้ แม้กระทั่งสำนวนสุภาษิตไทยก็เกี่ยวข้องกับทองตั้งหลายอัน ไม่ว่าจะเป็น เสียทองท่วมหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร เอาทองไปลู่กระเบื้อง กิ้งก่าได้ทอง ฯลฯ และถ้าถามถึงสุภาษิตเกี่ยวกับการให้ค่าทองคำของคนไทย ก็ต้องนึกถึงคำพูดติดปากที่ว่า “มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่” ในสายตาคนไทยสมัยก่อน คนที่รวยจริง ๆ ต้องถือ ทองคำ

1. ทองคำ กับการหนุนหลังระบบเงินตรา

ทองคำ ในบริบทที่น่าสนใจ คือการที่มันถูกนำมาเป็นเบื้องหลังทุนสำรองของประเทศ ซึ่งว่ากันว่า เงินที่เราใช้นี้ก็มีที่มาในสมัยก่อนจากทอง คือ เป็นกระดาษที่พิมพ์มาแทนทอง จะได้ใช้จ่ายคล่องขึ้น ไม่ต้องมีการส่งมอบทองจริง เปลี่ยนมาส่งแค่กระดาษแทน อันนำมาสู่กระบวนการซับซ้อนขึ้นว่า ถ้าจะพิมพ์เงินพิมพ์ธนบัตรคุณอาจทำได้ ขอแค่คุณมีทองคำมาหนุนหลังเพื่อเพิ่มความน่าน่าเชื่อถือ กระดาษที่สามารถแลกกลับเป็นทองได้จึงเป็นก้าวสำคัญของการเกิดขึ้นของเงินตรา

gold-is-money-2430052_640

ในช่วงศตวรรษที่ 19 ทางอังกฤษซึ่งเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกในขณะนั้นได้นำ “ระบบมาตรฐานทองคำ” (Gold Standard) ที่มีฐานความคิดดังที่อธิบายมาใช้กับกับเงินปอนด์ โดยระบบมาตรฐานทองคำนี้คงอยู่มายาวนาน

จนกระทั่งวันหนึ่ง ด้วยเหตุผลเกี่ยวเนื่องกับสภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบจากสงครามโลก จึงเกิดระบบการเงินใหม่ที่เรียกว่า ระบบมาตราปริวรรตทองคำ (Gold Exchange Standard) ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบห่วงโซ่ต่อเนื่อง มีประเทศ A เป็นศูนย์กลางในการถือทองคำ ส่วนประเทศอื่น ๆ นั้นก็เพียงแต่นำเงินตราของประเทศ A ไปถือไว้แทน ซึ่งในยุคนั้นสหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นมาสู่การเป็นประเทศศูนย์กลางในการถือทองคำแทนประเทศอื่น ๆ ในโลก และจุดนี้ทำให้อเมริกาในเวลาต่อมาได้กลายมาเป็นมหาอำนาจโลกในทางเศรษฐกิจ

และระบบการเงินก็ได้พัฒนาต่อมาสู่จุดที่ไม่จำเป็นต้องมีทองคำเกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ที่นำเรามาสู่จุดนี้ก็คือ สหรัฐอเมริกา เจ้าเดิมนั่นเองครับ ที่ประกาศยกเลิกการผูกติดทองคำกับการพิมพ์เงิน และระบบการเงินได้ยกย่องสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นฐานและเครื่องมือหนุนหลังระบบของการแลกเปลี่ยนเงินตราของโลก ทำให้ทุกวันนี้ประเทศต่าง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องมีทองคำหนุนหลังในการพิมพ์เงินตราอีกแล้ว เพราะสามารถใช้ทุนสำรองในลักษณะที่เป็นการสะสมสกุลเงินดอลลาร์หนุนหลังการพิมพ์เงินตราแทน  (โดยอาศัยการเอาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามาเป็นเดิมพันการันตีแทนทอง)

แต่อย่างไรก็ตาม หลายประเทศก็ยังมีการถือทองคำเป็นทุนสำรองอยู่นะครับ คนที่ถือเยอะสุดก็คือ สหรัฐอเมริกา นั่นเอง ตามมาด้วยเยอรมัน และ IMF ครับ

gold reserve 2018

2. ทองคำในบริบทของสินทรัพย์(ที่ดูน่าจะ)ปลอดภัย(จริงหรือ?)

ทองคำถูกจัดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven asset) เพราะว่ากันว่ามันเหมือนเป็นดั่งเครื่องชั่งคุณค่าของเงินตรา ถ้าวันใดฝั่งเงินตราโดยเฉพาะเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมา อีกฝั่งคือทองคำราคาจะสูงขึ้น มันจึงเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมของนักวิเคราะห์สำหรับการพิจารณาตัวเลขต่าง ๆ ไม่ว่าจะอัตราว่างงาน ตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่าง GDP หรือตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ ตัวเลขอะไรก็ตามที่บ่งบอกสภาพเศรษฐกิจสหรัฐ ล้วนผูกพันไม่มากก็น้อยกับราคาขึ้นลงทองคำ นักวิเคราะห์ก็เลยมักจะมาคอยลุ้นเลขที่ออกกันบ่อย ๆ

แล้วมันก็จะแปลกตรงที่เขามีตัวเลขให้ลุ้นตื่นเต้นกันทุกวันเลยทีเดียวครับ หากใครอ่านบทวิเคราะห์จะพบตารางปฏิทินประกาศตัวเลขมากมายยิ่งกว่าวันหวยออก เช่น วันนี้ตัวเลขประกาศอัตราว่างงานลดเหลือ 6% พรุ่งนี้รายงานตัวเลขดัชนีการผลิตขึ้น 0.2% มะรืนนี้จะรายงานดอกเบี้ยเหลือ 0.5% โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำพูดของประธาน FED (ธนาคารกลางสหรัฐ) ที่ออกมาพูดถึงนโยบายการเงินทีไร ทุกคนก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจยิ่งกว่ารางวัลที่ 1 พอบอกจะพิมพ์เงินเพิ่ม (ออกนโยบาย QE ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง) ทั้งหุ้นทั้งทองก็จะส่งผลเฮโลราคาพุ่งขึ้น

pexels-photo-366551

สมัยก่อนนั้นทองคำถูกนิยมเก็บสะสมในรูปทองรูปพรรณ (โดยเฉพาะทางฝั่งเอเชีย) ส่วนฝั่งสหรัฐ ยุโรป จะนิยมเก็บในรูปเหรียญทองคำเป็นรุ่น ๆ หรือรูปแบบของทองคำแท่ง แต่อย่างไรก็ดี วงการการเงินสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้ เพราะทองคำในสมัยนี้ยังมีรูปแบบของทองคำกระดาษหรือทองคำในทางสัญญา เพราะมีการเก็งกำไรกันด้วยตราสารการเงินใหม่ ๆ ให้ผลตอบแทนอ้างอิงจากราคาขึ้นลงของทองคำ ใช้วิธีตัดส่วนต่างราคาซื้อหักลบราคาขายเอา ไม่ต้องมีการส่งมอบทองคำจริง ๆ เรียกว่า ตราสารอนุพันธ์ทองคำ (Gold derivatives) จึงมีคนกล่าวกันว่า ทองคำเริ่มจะไม่ปลอดภัยไม่ Safe heaven เหมือนเดิมแล้ว และทองกระดาษหรือสัญญาทองคำอาจจะมีมูลค่ารวมกันทุกสัญญาสูงกว่าทองจริง ๆ ที่ได้ผลิตกันขึ้นมาบนโลก

3. พาหนะในการลงทุนทองคำ

การลงทุนในทองคำสมัยนี้มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบซื้อเป็นทองคำจริง ๆ จะแบบแท่ง แบบรูปพรรณ (ทองเส้น) หรือจะลงทุนในกองทุนทองคำ (Gold funds) คือเอาเงินไปรวมกันเป็นก้อนใหญ่กับนักลงทุนรายย่อยอื่นเพื่อซื้อทองคำแล้วหาคนมาบริหารจัดการให้

ถ้าในระดับโลกจะมีกองทุนทองคำใหญ่ที่มีบทบาทสูง คือ SPDR Gold Trust/Share ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในหลายตลาดหุ้น เช่น ตลาดหลักทรัพย์ New York, Hong Kong, Singapore อธิบายง่าย ๆ เกี่ยวกับระบบกองทุนทองคำ คือ เอางี้นะ ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโลกส่งเงินมา เราจะรวมเป็นเงินก้อนบิ๊กบึ้มไปซื้อทองคำ หาที่เก็บ หาที่ดูแลรักษาให้ แต่เราขอค่าบริหารจัดการให้เรานิดนึง อันนี้คือหลักการ (concept) ของกองทุน SPDR ดังกล่าว

จากข้อมูลล่าสุดตอนนี้กองทุนดังกล่าวถือครองทองคำประมาณ 850 ตัน มากกว่าประเทศอย่างญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ที่ครองอันดับ 9-10 ของประเทศที่ถือครองทองคำเป็นทุนสำรองเลยทีเดียวครับ

spdr8-5-18
ข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ของกองทุน ณ วันที่ 08/05/2018

สมัยก่อนราคาทองคำจะอิงกับค่าเงินดอลลาร์เป็นหลัก แต่สมัยนี้ชักจะเริ่มไม่ใช่ครับ เนื่องจากมีการเก็งกำไรกันสูงมาก และทองคำเป็นตัวสินค้าที่ Hedge Fund หรือกองทุนเก็งกำไร มุ่งลงมาหาเงินกับมันกันอย่างมาก กองทุนพวกนี้มีหน้าที่ทำกำไรสูง ๆ ให้กับผู้ร่วมลงทุน ซึ่งวิธีที่เขาใช้กันคือใช้ปัจจัยทางเทคนิค (ทำนายแนวโน้มราคาขึ้นหรือลง แล้วก็ทำการซื้อขายเอา)

และวิธีหนึ่งในการลงทุนทองคำอย่างไว ๆ ก็คือการเข้าซื้อ SPDR Gold นั่นเอง แนวทางการลงทุนทองคำสมัยใหม่สำหรับนักลงทุนจึงเป็นการลงทุนผ่านกองทุนทองคำนั่นเองครับ โดยเฉพาะกองทุนทองคำแบบ ETF ซึ่งสามารถซื้อขายได้ทันที (real-time)

gp.PNG

4. ราคาของ ทองคำ

ย้อนกลับมาดูกันเรื่องราคาทองคำบ้าง จาก goldprice.org เมื่อซัก 10 กว่าปีที่แล้ว ทองคำวิ่งที่ประมาณ 300-400 ดอลลาร์ต่ออนซ์ (troy ounce – เป็นหน่วยสากลของทองคำ) ตีเป็นเงินไทยนั้นน่าจะประมาณไม่เกิน 10,000 บาท (เราจะเห็นได้ว่าทองคำนั้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูง และมีรอบของมัน และติดหล่มนานมาก)

จนเมื่อประมาณปี 2000 ราคาก็พุ่งขึ้น ๆ จนกระทั่งสูงสุดแตะเกือบ 1900 เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปี 2011-2012 และนั่นคือ ดอยทอง ที่คนติดทองกันสูงมาก หนาวสุดขั้วหัวใจ ราคาไทยก็ประมาณเกือบ 27000 บาทนั่นหล่ะครับ

และหลังจากยุคทะยานไม่หยุดหย่อนนั้น ทองคำก็ร่วงลงมาเรื่อย ๆ จนแตะ 1300 โดยเฉพาะตอนสงกรานต์ปี 2013 เป็นจุดร้องระงมที่ทำนักลงทุนจำนวนมากบาดเจ็บจากทองคำไปตาม ๆ กัน ทั้งร้านทอง คนซื้อทอง ซื้อกองทุนทอง คนลงทุนในสัญญาอนุพันธ์ทองคำ

กลับไปก่อนหน้านี้ที่พูดถึงกองทุน SPDR กองทุนนี้เค้าเคยถือทองคำถึง 1300 ตัน แต่ตอนช่วงต้นปี 2013 เป็นต้น กองทุนได้เคยขายทองหนัก ๆ เกือบ 300 ตัน (และปัจจุบัน 2018 เหลืออยู่เท่า ๆ เดิมที่ 850+) ถ้าจำหลักมันได้ คือ กองทุน SPDR รวมเงินทุกคนไปซื้อทองและจัดการให้ถูกไหมครับ งั้นคิดภาพถ้าทุกคนอยากขายหล่ะ ใช่ คำสั่งจะถูกส่งไปยังกองทุน และนั่นคือที่มาว่าทำไม ราคาทองมันลงเรื่อย ๆ เพราะกระแสคำสั่งขายล้วนระดมเข้าสู่โครงการกองทุน SPDR

และเมื่อมีคนขายอย่าง SPDR ก็ต้องมีคนซื้อ เวลาทองคำราคาตก ก็มีกลุ่มผู้ซื้อเก็บและกลุ่มผู้ได้ประโยชน์จากการที่ทองคำมีราคาลดลง เช่น พวกอุตสาหกรรมเครื่องประดับ เหล่าธนาคารกลางหรือแบงก์ชาติของแต่ละประเทศ

5. กองทุนรวมทองคำในไทย

ความสำคัญของกองทุน SPDR คือ กองทุนนี้เป็นกองทุนหลักที่กองทุนทองคำในบ้านเรามักจะไปลงทุนผ่านครับ เวลานักลงทุนทำการซื้อขายกองทุนทองคำ พวกกองทุน X-Gold กองทุนเหล่านี้ซึ่งมีกองทุน SPDR Gold Share เป็นกองแม่ ก็จะส่งคำสั่งซื้อขายต่อไปยังกอง SPDR

พูดให้เห็นภาพก็คือ นักลงทุนถือกองทุนทองคำในไทย ซึ่งกองทุนในไทยกองนั้น ไปลงทุนในกองทุน SPDR และ SPDR ไปลงทุนในทองคำ เราจึงถือทองคำผ่านระบบอ้อมหลายรอบหน่อย ๆ

และนักลงทุนต้องเข้าใจว่า กองทุนทองคำเนี่ย เวลาเราซื้อคือเหมือนเราซื้อทองคำที่ราคา ณ จุด ๆ นั้นนะครับ ซึ่งปกติก็คือราคาปิดทำการของวัน ผู้บริหารกองทุนไม่ได้มาจัดการซื้อขายจับจังหวะอะไรให้ มันแทบจะเหมือนซื้อทองคำจริง ๆ (แต่ไม่ซะทีเดียว) ถ้าราคาร่วงก็ร่วงจริง ๆ ต้องรอมันราคาขึ้นมา เช่น นักลงทุนที่ลงทุนซื้อกองทุนทองคำ ตอนราคาทองบาทละ 20,000 นักลงทุนก็จะมีต้นทุนที่ตรงนั้นนั่นล่ะครับ

กองทุนทองคำจึงไม่เหมือนกับพวกกองทุนหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนยังสามารถสับเปลี่ยนหุ้นสร้างผลตอบแทนได้ หรือหุ้นที่กองทุนถืออาจมีการจ่ายปันผลเข้ามาเพิ่มกำไรให้นักลงทุนได้ แต่ว่า ทองคำนั้นตรงข้ามเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนอื่นนอกจากการที่คุณหวังให้ราคามันขึ้น ๆ ลง ๆ (คุณถือทอง 1 ก้อนผ่านไป 100 ปีคุณก็มีทองแค่ 1 ก้อนเช่นเดิมครับ มันไม่งอก)

ข้อตรงนี้ต้องระวังด้วย และการถือกองทุนทองคำก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น การจ่ายค่าธรรมเนียมตอนเข้าซื้อหรือขายออก (0.5-1.0%) และการถือครองมันไว้ก็จะเสียค่าใช้จ่ายรวมของกองทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการบริการจัดการ อีกรวม ๆ 1.0-2.0% ต่อปี

การเลือกลงทุนทองคำในรูปแบบไหนก็มีต้นทุนอยู่ดีครับ การลงทุนทองคำหรือทองคำแท่ง คนเราก็จะพะวง บางคนก็เลือกจะเก็บไว้ที่บ้าน ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษา เช่น เก็บในตู้เซฟ หรือบางคนอาจจะไปทำการเช่าตู้นิรภัยที่ธนาคาร การถือทองคำจริง ๆ จึงมีต้นทุนเช่นกัน ถึงกับมีสำนวนไทยว่า มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว คือ มีทองนิดนึงเราก็พะวงไปต่าง ๆ นานาแล้ว

ในขณะที่การถือทองคำผ่านกองทุนรวมก็จะตัดปัญหาเรื่องการดูแลรักษาทองตรงนี้ไป แต่เราก็จะจ่ายในรูปค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุนแทนครับ

อีกอย่างคือผลตอบแทนทองคำมันผกผันกับค่าเงินดอลลาร์ด้วย เราต้องตรวจสอบว่ากองทุนทองคำที่เราลงทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงินอย่างไรบ้าง เพราะสมมติถ้าราคาทองขึ้น (มักจะอิงเป็นราคาสกุลเงิน USD) มันจะมีปัญหาเวลาเราขายเอาเงินกลับมา เราต้องดูอีกว่า ถึงแม้เราจะได้กำไรจากราคาทองที่สูงขึ้น แต่ถ้าค่าเงินบาทเราแข็งค่าขึ้น เราก็อาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ครับเวลาเราขายกองทุน

6. ตราสารอนุพันธ์ทองคำ

ปกติตราสารอนุพันธ์จะมี 4 รูปแบบได้แก่ Forwards, Futures, Options และ Swaps ผมขออธิบายสักอันหนึ่งเป็นตัวอย่าง เอาแบบง่าย ๆ เลย นาย A ทำสัญญากับนาย B ว่า อีก 3 เดือนข้างหน้า นาย A จะขายทองคำจำนวน 10 บาทให้นาย B ที่ราคาบาทละ 20,000 บาท (มูลค่ารวม 200,000) และนาย B ตกลงจะจ่ายเงินให้นาย A ตามสัญญาดังกล่าวในวันนั้น ลักษณะสัญญาสร้างหนี้แก่ทั้งคู่จึงเป็น Gold Forwards นั่นหมายความว่า ถ้าอีก 3 เดือนข้างหน้า ราคาทองคำกลายเป็น 25,000 เท่ากับมูลค่าสัญญานี้จะกลายเป็น 250,000

ถามว่าใครได้ประโยชน์ครับ คำตอบคือ คนซื้อหรือนาย B ยังไงล่ะ เพราะแทนที่จะต้องซื้อทองคำนี้ในราคาบาทละ 25,000 ก็สามารถซื้อได้ตามสัญญาเพียงแค่บาทละ 20,000 จากนาย A (คนขาดทุนคือนาย A เพราะสามารถเอาทองไปขายได้จริง 25,000 แต่ถูกบังคับโดยสัญญาให้ต้องส่งมอบแก่นาย B มิฉะนั้นตนจะผิดสัญญา)

ในทางกลับกัน ถ้าทองคำเหลือบาทละ 15,000 แบบนี้คนขายคือนาย A จะได้กำไรเพราะขายทองได้ตั้ง 20,000 แก่นาย B และนาย B ก็จะขาดทุนเพราะแทนที่จะซื้อทองคำจากท้องตลาดในราคา 15,000 ก็ต้องปฏิบัติตามสัญญายอมซื้อที่บาทละ 20,000

ความซับซ้อนอยู่ที่ว่า สัญญาทางการเงินเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีการส่งมอบทองคำจริง ๆ ก็ได้ หรือคู่สัญญาไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทองคำจริง ๆ ก็ได้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมมูลค่าทองในกระดาษสูงกว่ามูลค่าทองคำแบบมีตัวตน (physical) ก็เพราะอาจจะมีทองจริงแค่จำนวนหนึ่ง แต่สัญญานั้นสามารถสร้างขึ้นได้เรื่อย ๆ บนทองจริงที่มีนั้น และอาจมีการตกลงทำสัญญาซ้อนสัญญาไปอีกแบบทบทวีเรื่อย ๆ

7. บทสรุปการลงทุน ทองคำ

นักลงทุนสามารถลงทุนทองคำได้หลายรูปแบบ ทั้งเก็บทองคำในลักษณะที่เป็นเหรียญ เป็นทองคำแท่ง เป็นทองรูปพรรณ เป็นสัญญา (อนุพันธ์) หรือทำการออมทองที่ห้างทองต่าง ๆ มีโปรแกรมนี้ แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องเข้าใจให้ดีและจำขึ้นใจ คือ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาเพราะมีการให้ราคา การที่ในอนาคตมันจะมีราคาเป็นอย่างใด ขึ้นอยู่กับคุณค่าและมุมมองของระบบการเงินในตอนนั้น

ด้วยเหตุนี้เราจึงหวังได้เพียงแค่คาดหวังว่าราคาทองจะสูงขึ้น และทองคำไม่มีผลตอบแทนอื่นใดนอกจากราคาให้เราเหมือนสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้น (ที่แสดงถึงส่วนในกิจการของบริษัทและมีการจ่ายปันผลให้) หรือ อสังหาริมทรัพย์ ที่มีค่าเช่าหรือผลผลิตจากการทำเกษตรในที่ดินนั้น

อย่างไรก็ดี มีนักลงทุนหลายคนที่ไม่ชอบทองคำนะครับ และคำพูดเจ็บถึงใจที่พวกเขาโต้ว่าการลงทุนทองไม่ดีอย่างที่คิด ก็เช่น คนซื้อทองเนี่ยทำได้เพียงแค่ลูบ ๆ คลำ ๆ มันเท่านั้นหล่ะ ดอกเบี้ยอะไรก็ไม่ให้ เก็บไว้ 10 ปีก็ไม่งอก ได้แต่นอนรอสักวันราคาจะขึ้นตามความเชื่อเท่านั้นเอง

นักลงทุนในตำนานคนหนึ่งที่ไม่ชอบการลงทุนในทองคำ คือ Warren Buffett ซึ่งเห็นว่า ถ้านำทองคำทั้งโลกมาแปลเป็นเงินตราแล้วเอาไปซื้อบริษัทอย่าง Exxon Mobil หรือซื้อที่ดินทั้งอเมริกา มันจะมีประโยชน์มากกว่าเยอะ เพราะสินทรัพย์อย่างอสังหาริมทรัพย์และกิจการต่าง ๆ สามารถสร้างผลผลิตที่แท้จริง เช่น ผลผลิตทางการเกษตร สินค้าและบริการ แบบที่การถือทองคำเอาไว้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย

อีกทั้งหลายคนยังเชื่อว่า ทองคำได้สูญเสียลักษณะของสินทรัพย์ลงทุนอันแสนปลอดภัยไปแล้ว และได้เข้าสู่โลกแห่งการเก็งกำไรอย่างรุนแรงแทน แถมจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทองคำได้ทำลายความเชื่อที่ว่า “ทองมีแต่ขึ้นไม่มีลง” ที่หลายคนเชื่อถือและบูชาความคิดนี้กันซะราบคาบ

สมัยก่อนถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ทองคำ สมัยนี้ทุกคนขับรถหนีจากถนนทองคำ แต่ขึ้นเครื่องบินทุกสายไปสู่ตลาดหุ้นแทน และตลาดการเงินมักซ้ำรอยเดิม เดี๋ยวก็จะเกิดเหตุการณ์สักวันหนึ่งที่ถนนทุกสายยูเทิร์นกลับมาฮิตลงทุนทองคำกันอีกรอบ พร้อมคำพูดที่ว่า “ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว” ซึ่งว่ากันว่าเป็นคำพูดที่น่ากลัวที่สุดในตลาดการเงินและลงทุนครับ